iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X เป็น iPhone รุ่นแรกของ Apple ที่สนับสนุนการชาร์จไร้สาย หรือ Wireless Charging โดยใช้มาตรฐาน Qi เหมือนที่สมาร์ทโฟนของระบบปฏิบัติการ Android มีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว ถึงแม้การชาร์จไร้สายจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่เจ้าของ iPhone รุ่นใหม่จำเป็นต้องรู้
จุดเด่นของการชาร์จไร้สาย
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนของ Wireless Charging ก็คือ ผู้ใช้งานไม่ต้องพบกับความยุ่งยากของสายไฟ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสายไฟชำรุดเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน รวมถึงการสึกหรอของพอร์ต Lightning ที่ถูกใช้งานอยู่เป็นประจำ เมื่อมีอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย คุณก็เพียงแค่วาง iPhone ลงบนแท่นชาร์จ ซึ่งคุณอาจจะวางไว้บนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะข้างเตียงนอน
คุณอาจไม่ต้องพกอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ หรือ Power Bank อีกต่อไป เพราะในพื้นที่สาธารณะ อย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สนามบิน เริ่มมีอุปกรณ์ชาร์จไร้สายไว้คอยให้บริการลูกค้าแล้ว และเชื่อว่าจะเพิ่มจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากเทคโนโลยี Wireless Charging มาถึง iPhone
แม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์ก็ให้ความสนใจในเทคโนโลยี Wireless Charging หลายค่ายต่างติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนไว้ในรถยนต์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Audi, BMW, Chrysler, Ford, Genesis, Honda, Hyundai, Kia, Mercedes-Benz, PSA, Toyota, Volkswagen และ Volvo อุปกรณ์ชาร์จไร้สายในรถยนต์จากผู้ผลิตเหล่านี้ ได้รับการยืนยันจาก Apple แล้วว่าสนับสนุน iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X นอกจากนี้ยังรวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะออกมาในปี 2018 จากค่าย Buick, Cadillac, Chevrolet และ GMC อย่างไรก็ตามรถยนต์ในบางรุ่น อาจไม่สามารถชาร์จ iPhone 8 Plus ได้ เนื่องจากมีพื้นที่วางเล็กเกินไป
ข้อด้อยของการชาร์จแบบไร้สาย
สิ่งที่ต้องพิจารณาสำหรับการใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย ประการแรกก็คือ อุปกรณ์ชาร์จมีราคาสูงกว่าแบบมีสายที่ Apple แถมมาให้ในกล่องอย่างแน่นอน Belkin และ Mophie วางจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จไร้สายสำหรับ iPhone ในราคา 60 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 2,000 บาท และคาดว่า AirPower ที่ Apple จะวางจำหน่ายในปีหน้า จะมีราคาสูงกว่าอย่างแน่นอน เพราะออกแบบมาให้สามารถชาร์จได้ทั้ง iPhone, Apple Watch และ AirPods (ผ่านกล่องชาร์จไร้สาย)
ข้อจำกัดอีกอย่างของการชาร์จไร้สายคือ ในระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ คุณจะไม่สามารถใช้งาน iPhone ได้อย่างสะดวก เพราะ iPhone ต้องวางอยู่บนแท่นชาร์จเท่านั้น นั่นหมายถึง คุณจะไม่สามารถดูหนังหรือเล่นเกม ไปพร้อมกับการชาร์จไร้สายได้
อุปกรณ์ชาร์จไร้สายของ Belkin และ Mophie ยืนยันว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ได้แม้สวมเคส แต่เคสต้องทีความหนาไม่เกิน 3 มิลลิเมตร แต่ถ้าคุณใช้เคสที่มีความหนา หรือใช้วัสดุโลหะ ก็จำเป็นต้องถอดเคสออกก่อนวาง iPhone ลงบนแท่นชาร์จ และต้องเพิ่มความระมัดระวังในกรณีที่ใช้เคสแบบมีช่องเก็บบัตรต่างๆ โดยเฉพาะบัตรเครดิต หรือบัตรที่มีแท็ก RFID
อุปกรณ์ชาร์จไร้สายจะส่งพลังงานไปยัง iPhone ผ่านขดลวด บางครั้งถ้าคุณเปิดระบบสั่นเตือนไว้ และมีมีสายเรียกเข้าหรือได้รับการแจ้งเตือน ระบบสั่นอาจทำให้ iPhone ขยับออกจากตำแหน่งขดลวดได้ ทำให้การชาร์จช้าลงหรือหยุดการทำงาน
อุปกรณ์ชาร์จไร้สายต้องได้รับพลังงานจากปลั๊กไฟบ้านเท่านั้น ไม่สามารถใช้พลังงานจากพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ได้ ขณะที่การชาร์จผ่านสายเคเบิลแบบเดิม สามารถใช้พลังงานจากคอมพิวเตอร์ และยังถ่ายโอนข้อมูลไปพร้อมกันได้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อุปกรณ์ชาร์จไร้สายไม่สามารถทำได้
การชาร์จไร้สายใช้เวลาชาร์จนานกว่าแบบมีสาย
ปัจจุบัน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus สามารถชาร์จไร้สายด้วยกำลังไฟ 5 วัตต์ แต่ในอนาคตจะได้รับการอัพเดทซอฟต์แวร์ ซึ่งจะช่วยให้สนับสนุนกำลังไฟสูงสุด 7.5 วัตต์ อย่างไรก็ตาม สมาร์ทโฟนจากผู้ผลิตรายอื่น รองรับการชาร์จไร้สายสูงสุด 15 วัตต์ อย่างเช่น Galaxy Note 8
วิธีเดียวที่จะทำให้ iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ชาร์จเร็วที่สุดคือต้องซื้ออุปกรณ์ USB-C Power Adapter และ USB-C to Lightning Cable ซึ่งจะทำให้ชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 50% ในเวลาเพียง 30 นาที
การชาร์จไร้สายทำให้แบตเตอรี่เสียหายหรือไม่?
ในทางทฤษฎี การชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย อาจมีส่วนทำให้แบตเตอรี่ได้รับความเสียหายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีความร้อนที่เกิดจากการชาร์จไร้สาย แต่ในความเป็นจริง iPhone มีซอฟต์แวร์ป้องกัน โดยจะตรวจจับอุปกรณ์หากพบว่ามีความร้อนสูงจนเกินไป จะหยุดการชาร์จชั่วคราว และจะกลับมาใช้งานได้เมื่ออุปกรณ์เย็นลง
ควรซื้ออุปกรณ์ชาร์จไร้สายมาใช้งานกับ iPhone หรือไม่?
การชาร์จไร้สาย ช่วยเพิ่มความสะดวกในการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ iPhone ที่คุณต้องทำก็เพียงแค่วางอุปกรณ์ลงบนแท่นชาร์จเท่านั้น และปัจจุบันผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ ก็เริ่มนำอุปกรณ์ชาร์จไร้สายไปติดตั้งกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ อย่างเช่น IKEA ซึ่งจะทำให้คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนได้เกือบทุกมุมภายในบ้าน ข้อจำกัดเดียวก็คือคุณสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อความสะดวกสบายเพิ่มเติมได้หรือไม่? เพราะถึงอย่างไร Apple ก็แถมอุปกรณ์ชาร์จแบบมีสายรูปแบบเดิมมาให้ในกล่องอยู่แล้ว
ที่มา – Phonearena
http://www.flashfly.net/wp/?p=197430