นักวิเคราะห์หลายคน มองเห็นหลายปัจจัยที่ทำให้ราคาสมาร์ทโฟนระดับเรือธงปรับตัวสูงขึ้น โดยมีอิทธิพลมาจากความสำเร็จของ iPhone X หลังจาก Apple วางจำหน่าย iPhone X ในราคาสูงแตะ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หลายคนคลางแคลงใจว่าจะขายได้หรือไม่ แต่ Apple ยืนยันว่า iPhone X มียอดขายที่แข็งแกร่งนับตั้งแต่วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2017 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2018
iPhone X ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินแม้ราคามากกว่า 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ และ iPhone X Plus อาจมีราคาสูงขึ้นอีกก็เป็นได้ ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ อาจมีราคาหลัก 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็นมาตรฐาน
Jessica Dolcourt จาก CNET เชื่อว่า Samsung, Huawei และ OnePlus จะเดินตามรอย Apple ในการผลักดันราคาสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของตัวเองให้ขยับสูงขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสมาร์ทโฟนปรับตัวสูงขึ้น มาจากต้นทุนส่วนประกอบ สมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่มีส่วนประกอบที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้มีราคาแพงขึ้นตามไปด้วย อย่างระบบกล้องเซลฟี่ของ iPhone X ก็มีต้นทุนมากกว่ากล้องเซลฟี่ของสมาร์ทโฟนทั่วไป เนื่องมาจากใช้ระบบกล้อง TrueDepth ซึ่งนอกจากจะมีโมดูลกล้องแล้ว ยังมีเซ็นเซอร์อีกมากมายที่ใช้สำหรับจดจำใบหน้า
Huawei P20 Pro ก็มีการติดตั้งระบบกล้องด้านหลังถึง 3 ตัว ทำให้ราคาต้นทุนสูงขึ้นตามไปด้วย วัสดุในการขึ้นรูปบอดี้ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งกระจก เซรามิค กรอบโลหะ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ราคา iPhone X ที่สูงขึ้นระดับหลัก 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็นเพียงกลยุทธ์ของ Apple เท่านั้น ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น Ben Wood จาก CCS Insight ยอมรับว่า ต้นทุนส่วนประกอบและกระบวนการผลิตมีส่วนทำให้ราคาสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ และคาดว่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปีนี้ อาจมีราคาถึง 1,200 ดอลล่าร์สหรัฐ
ถึงแม้ราคาสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอาจดูแพงจนเกินไป แต่ในความเป็นจริง ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะชำระค่าบริการเป็นรายเดือน แทนที่จะจ่ายในราคาเต็มของสมาร์ทโฟน เมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจกับผู้ให้บริการเครือข่ายฯ
ที่มา – 9to5mac
http://www.flashfly.net/wp/?p=225742