ในปีที่ผ่าน Apple ได้เปิดตัว iPhone X ซึ่งเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีราคาแตะ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่รายงานจาก The Information พบว่า Profit Margin ของ iPhone ต่อเครื่อง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลดลงจาก 74% เหลือ 60% ซึ่งหมายความว่า iPhone แต่ละเครื่องทำกำไรได้น้อยลง
iPhone 3GS ที่ออกมาในปี 2009 มี Profit Margin สูงที่สุด และค่อยๆ ลดลงเมื่อออกรุ่นใหม่ตามมา เนื่องจากมีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้มีส่วนประกอบเพิ่มมากขึ้น ต้นทุนก็สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่น iPhone SE มีราคาขายปลีก 399 ดอลล่าร์สหรัฐ โดยมีต้นทุน 186.70 ดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้มี Profit Margin อยู่ที่ 53% หรือได้กำไร 74 เซ็นต์ ทุกๆ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ จากยอดขาย iPhone แต่ใน iPhone รุ่นใหม่ๆ มีกำไรลดลงเหลือ 60 เซ็นต์
Al Cowsky นักวิเคราะห์ต้นทุนจาก TechInsights บอกว่า Apple พยายามเพิ่มนวัตกรรมใหม่ให้กับ iPhone มากขึ้น ส่งผลให้การออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และทำให้ iPhone มีราคาแพงขึ้น
TechInsights ยังอธิบายว่า iPhone XS Max รุ่น 512GB กับ 64GB มีส่วนต่างของต้นทุนเพียง 70 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ราคาขายปลีกระหว่าง 2 รุ่นนี้ แตกต่างกันถึง 350 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นที่มาของผลกำไร
บริษัทหลักทรัพย์เพื่อการลงทุน Canaccord Genuity บอกว่า iPhone มีส่วนแบ่งในยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนไม่ถึง 20% แต่ได้รับผลกำไรถึง 87%
ที่มา – The Information
http://www.flashfly.net/wp/?p=234811