ขณะที่ iPhone 14 รุ่นพื้นฐานยังใช้ชิป A15 แต่ในรุ่น Pro ได้รับชิปรุ่นใหม่ A16 Bionic และยังได้รับการออกแบบใหม่ไร้รอยบาก มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Space Black, Silver, Gold และ Deep Purple ผลิตด้วยวัสดุสแตนเลสสตีล พร้อม Ceramic Shield และกันน้ำ IP68

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีขนาดหน้าจอ 6.1 และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ ให้ความสว่างสูงสุด 2000 นิต เมื่ออยู่กลางแจ้ง รองรับอัตราการรีเฟรชต่ำสุด 1Hz เมื่ออยู่ในโหมด Low Power ทำให้รองรับโหมด Always-On Display และยังให้อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz

ดีไซน์ภาพรวมยังคล้ายรุ่นก่อนหน้า แต่ที่โดดเด่นอย่างชัดเจนคือไม่มีรอยบากอีกต่อไปแล้ว แต่เจาะช่องไว้บนหน้าจอแทน และทำให้ดูเหมือนเป็นรูปแคปซูลที่มีความยาวเป็นพิเศษ พร้อมปรับปรุงกล้อง TrueDepth ใหม่ ด้วยการซ่อนเซ็นเซอร์ Proximity ไว้ใต้หน้าจอ

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ได้รับชิปประมวลผล A16 Bionic ที่ถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี 4 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core ( 2-core ประสิทธิภาพสูง และ 4-core ประหยัดพลังงานสูง) มีความเร็วเหนือกว่าคู่แข่งสูงสุด 40% ขณะที่ Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที

Apple ปรับปรุงกล้องครั้งใหญ่ให้กับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ด้วยกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ขนาดซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น 65% และยังอัปเกรด Sensor‑shift OIS เป็นรุ่นที่ 2 (มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์) ส่วนกล้อง Telephoto กับ Ultra Wide ยังคงความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
iPhone 14 Pro ราคาเริ่มต้น 999 ดอลล่าร์สหรัฐ และ iPhone 14 Pro Max ราคาเริ่มต้น 1099 ดอลล่าร์สหรัฐ เปิดรับจอง 9 กันยายนนี้ ก่อนจะเริ่มวางจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2022 เป็นต้นไป






