Friday, December 5, 2025
  • Contact us
Flashfly Dot Net
  • Home
    • Flashfly Online Channel
    • Feature
    • Tips&Tricks
  • NEWS
    • PR News
    • Lifestyle
  • Samsung
  • Vivo
  • OPPO
  • iPhone
  • Smartphone
    • App Free
    • Nokia
    • Windows 10
    • Android
    • BlackBerry 10
  • Games
    • Playstation
    • Nintendo
  • Review & Preview
  • Contact us
No Result
View All Result
  • Home
    • Flashfly Online Channel
    • Feature
    • Tips&Tricks
  • NEWS
    • PR News
    • Lifestyle
  • Samsung
  • Vivo
  • OPPO
  • iPhone
  • Smartphone
    • App Free
    • Nokia
    • Windows 10
    • Android
    • BlackBerry 10
  • Games
    • Playstation
    • Nintendo
  • Review & Preview
  • Contact us
No Result
View All Result
Flashfly Dot Net
No Result
View All Result
Home dtac

ทรู เปิดตัว “หาย(ไม่)ห่วง” ริสแบนด์ติดตามคนหาย กับนวัตกรรมเรียบง่าย แต่ให้คุณค่ากับความเข้าใจปัญหาผู้สูงวัยพลัดหลงอย่างแท้จริง

Jackrich T. by Jackrich T.
April 16, 2024
in dtac, NEWS, PR News
0
SHARES
69
VIEWS
Share on FacebookShare on Twitter

ผู้สูงอายุคือคนสำคัญในครอบครัว ที่ยังอยากใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย หากแต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงตามวัย ครอบครัวจึงต้องมีความเข้าใจและหาวิธีช่วยดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงลืม และเสี่ยงต่อการพลัดหลงได้

เพราะคนหายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ตามสถิติของศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา พบว่าในปี 2566 มีการแจ้งเหตุคนหายทั้งหมด 2,200 ราย ขณะที่สัดส่วนจำนวนของคนหายที่มีมากที่สุดคือ กลุ่มผู้สูงวัย ที่เวลานี้กลายเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของสังคมไทยตามสถิติของกรมผู้สูงอายุ โดยในปี 2566 มีจำนวนประชากรกลุ่มนี้สูงถึง 20.08% เรียกว่าเข้าเกณฑ์ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society)

หากเจาะลึกลงไปอีก กลุ่มผู้สูงวัยที่พลัดหลงหายไปจากบ้าน มักมีอาการหลงลืมหรือเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ทำให้การติดตามช่วยเหลือยิ่งเป็นไปได้ลำบาก จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นที่มาของ โครงการหาย(ไม่)ห่วง ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของมูลนิธิกระจกเงาและภาคเอกชน ที่ห่วงใยและตั้งใจเข้ามาดูแลผู้พลัดหลงกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของโครงการหาย(ไม่)ห่วง ที่ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนกว่า 3,000 คน ในระยะสี่ปีที่ผ่านมาช่วยพาผู้พลัดหลงกลับบ้านอย่างปลอดภัยมาแล้วกว่า 40 คน และสำหรับสามเดือนแรกของปี 2567 ช่วยผู้พลัดหลงกลับสู่อ้อมอกครอบครัวมาแล้ว 15 คน

ปัญหาคนหายเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

เอกลักษณ์ตั้งเป้าหมายของชีวิตในการทำงานเพื่อสังคมตั้งแต่เรียนจบ จากที่เคยฝึกงานเป็นทนายความ ทำให้เขาเห็นว่า วิธีที่จะช่วยเหลือคนได้เร็วที่สุดคือการเข้าไปทำงานในองค์กรเพื่อสังคม มูลนิธิกระจกเงาจึงกลายมาเป็นที่ทำงานที่แรกและที่เดียวของเขาตั้งแต่ปี 2547 จากการเริ่มเข้ามาทำหน้าที่เป็นนักกฎหมายของศูนย์ข้อมูลคนหายจากการค้ามนุษย์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเห็นปัญหาเด็กหายจากการถูกหลอกไปค้าบริการทางเพศ ไปเป็นแรงงาน หรือแม้แต่เป็นขอทาน

“ในฐานะนักกฎหมาย เราก็พยายามหาช่องทางในการติดตามคนหายที่เป็นระบบมากขึ้น ในยุคนั้นมีเครื่องมือใหม่เป็นจดหมายข่าว เป็นฟอร์เวิร์ดเมลที่ส่งต่อกันว่ามีคนหาย ขณะเดียวกันก็ทำงานเชิงวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและสืบสวน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ติดตามผลของคดีโดยใช้แนวทางด้านกฎหมาย”

หลังจากที่ทำงานด้านติดตามคนหายมาสักพัก เอกลักษณ์ก็พบว่า ปัญหาคนหายมาจากสาเหตุมากมายเกินกว่าคาดคิด ทางมูลนิธิฯ จึงปรับการทำงานและปรับชื่อหน่วยงานเป็น “ศูนย์ข้อมูลคนหาย” ที่รับแจ้ง ปรึกษา ตามหา และติดตามปัญหาคนหายที่มีความหลากหลายในทุกรูปแบบ โดยเอกลักษณ์ก็ได้ขยับมารับหน้าที่เป็นหัวหน้างานของศูนย์นี้เช่นกัน

เมื่อมี Data จึงวิเคราะห์และเห็นปัญหาคนหายที่แท้จริง

“ความโชคดีคือเราทำ Database มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว เรามีระบบฐานข้อมูลบันทึกเคสคนหายทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจรูปแบบของปัญหาอย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วคนหายไปจากสาเหตุอะไร ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีความแตกต่างกัน” เอกลักษณ์เล่าถึงองค์ความรู้ที่ได้จากการทำงาน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมาตลอดทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้วปัญหาคนหายมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม โดยในช่วง 5 ปีมานี้กลุ่มที่พลัดหลงสูญหายส่วนใหญ่คือ กลุ่มผู้สูงวัย และผู้ป่วยจิตเวช

“ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้พลัดหลงกลุ่มนี้คือ พวกเขาจะให้ข้อมูลตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากที่ไหน ตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญมากในกระบวนการระหว่างให้การช่วยเหลือ” เอกลักษณ์กล่าว

ศูนย์ข้อมูลคนหายเริ่มเข้ามาให้ความสำคัญกับปัญหาคนหายกลุ่มนี้อย่างจริงจัง แต่ด้วยกำลังคนที่ไม่เพียงพอ จึงต้องรอจังหวะโอกาส ที่สุดท้ายก็มีผู้บริจาครายหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเข้ามาช่วยคิดและริเริ่มหากลไกป้องกันและติดตามคนหาย จนเป็นที่มาของโครงการที่เจาะจงไปที่กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอาการหลงลืม มีภาวะสมองเสื่อม รวมไปถึงผู้ป่วยจิตเวชและบุคคลออทิสติก ที่มีแนวโน้มพลัดหลงออกไปจากบ้านได้ ภายใต้ชื่อ โครงการหาย(ไม่)ห่วง

“โครงการนี้ต้องการผู้สนับสนุนมาร่วมกันคิดร่วมกันทำ โดยเฉพาะในแง่ที่ทำให้เรื่องนี้เข้าถึงสาธารณะให้ได้มากที่สุด ทรู ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีและผู้สนับสนุนงานติดตามคนหายมาตั้งแต่ในรายการ True Academy Fantasia ที่มีการกดโหวตเงินบริจาคให้มูลนิธิกระจกเงา ก็ได้เข้ามาร่วมกันทำงานและสนับสนุนให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ในวงกว้างผ่านความเชี่ยวชาญของทรู” เอกลักษณ์กล่าว

ห้ามปัญหาคนหายไม่ได้ แต่อย่างน้อยต้องมีกลไกช่วยให้หายห่วง

“ถ้าเราช่วยให้ระยะเวลาที่พลัดหลงออกจากบ้านสั้นได้มากที่สุด ช่วยให้พวกเขากลับบ้านได้เร็วที่สุด ก็จะเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พลัดหลงได้” เอกลักษณ์เล่าถึงวิธีคิดตั้งต้น ก่อนที่ทีมงานศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาและพาร์ตเนอร์ของโครงการช่วยกันระดมความคิด ทำให้โครงการหาย(ไม่)ห่วงมีกลไกที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้

•     Practical tools อุปกรณ์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือและระบุตัวตนของผู้พลัดหลงได้ โดยแต่ละชิ้นต้องผ่านการลงทะเบียนทั้งผู้สวมใส่และญาติที่สามารถติดต่อได้

•     Privacy protection ข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งผู้สวมใส่และครอบครัวที่ลงทะเบียนไว้จะอยู่ในระบบฐานข้อมูลที่ออกแบบอย่างรัดกุมและเข้าถึงได้เฉพาะศูนย์ข้อมูลคนหายที่เป็นตัวกลางในการรับแจ้ง ตรวจสอบข้อมูล และประสานงาน

•     Community engagement การรับรู้ของสังคมทำให้มีผู้คนคอยช่วยกันสังเกต แจ้งเหตุ ช่วยดูแลกันและกัน และเกิดความตระหนักรู้ถึงปัญหา ถ้าหากมีคนในครอบครัวที่เสี่ยงพลัดหลงก็ลงทะเบียนกับโครงการได้

รายละเอียดของกระบวนการทำงานที่ทำให้เกิดโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกขั้นตอนต้องอาศัยองค์ความรู้ ประสบการณ์ มุมมองจากรอบด้าน รวมไปถึงความเข้าอกเข้าใจอย่างแท้จริง

ริสแบนด์เรียบง่ายที่มาจากความเข้าอกเข้าใจ

เมื่อเริ่มมองหาอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่จะนำมาเป็นสัญลักษณ์สื่อสารให้ผู้คนในสังคมรู้ว่า บุคคลที่สวมใส่ต้องการความช่วยเหลือ ทีมทำงานเริ่มจากมองหาประโยชน์จากเทคโนโลยีทันสมัยในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ RFID (Radio Frequency Identification) ระบบ GPS หรือ Smart Watch ใส่ซิมการ์ด แต่อุปกรณ์ทันสมัยมักมาพร้อมกับการถอดชาร์จไฟ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคในการสวมติดตัว

“เพราะเมื่อไหร่ที่อุปกรณ์ออกจากมือไปแล้ว เมื่อนั้นมีความเสี่ยงที่เขาจะไม่ใส่กลับเหมือนเดิม การใช้อุปกรณ์ที่ต้องถอดเพื่อชาร์จไฟจึงไม่ค่อยเหมาะสม” เอกลักษณ์อธิบาย

หลังจากที่ทุกฝ่ายช่วยกันคิดอย่างรอบด้านพร้อมไปกับการใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ รวมไปถึงการทดลองร่วมกันตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปี ท้ายที่สุดจึงเลือกใช้อุปกรณ์ที่เรียบง่ายที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีทันสมัย นั่นคือ ริสแบนด์หรือสายรัดข้อมือสีเหลือง ที่มีเพียงแต่มีสัญลักษณ์หัวใจ QR Code และหมายเลขสายด่วนและเลขรหัสขนาดเล็กที่พอสังเกตเห็นได้ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนออกแบบมาจากความเข้าอกเข้าใจและเคารพของสิทธิของสวมใส่ในทุกมิติ

“ริสแบนด์นี้ผ่านการคิดและทดลองมาเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องความแข็งแรงคงทนที่ต้องทำเป็นสองชั้น เรื่องไซส์ที่พอดีกับข้อมือที่มีขนาดต่างกัน ที่สำคัญคือเรื่องรูปลักษณ์โดยเลือกสีที่ผู้สวมใส่ต้องไม่รู้สึกแปลกแยก แตกต่าง สัญลักษณ์บนริสแบนด์ก็มีเพียงรูปหัวใจแต่สิ่งสำคัญคือเครื่องหมาย QR Code ที่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อสารให้คนสังเกตได้ว่าน่าจะต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่สวมไว้ เพราะยุคนี้เราต่างก็คุ้นชินกับการสแกนข้อมูลแบบนี้อยู่แล้ว”

นอกจากริสแบนด์แล้วยังมีป้าย QR Code ขนาดเล็กที่ใช้รีดติดเสื้อผ้าหรือใช้พกพาได้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ยังคงคำนึงถึงความรู้สึกและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้สวมใส่ ไม่ให้รู้สึกถูกตีตราว่าเป็นบุคคลที่ต้องการการดูแลพิเศษ

ระบบการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญที่สุด

ริสแบนด์ทุกเส้นจำเป็นต้องลงทะเบียนข้อมูลของทั้งผู้สวมใส่และญาติหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่ติดต่อได้ในกรณีมีเหตุพลัดหลง ซึ่งเอกลักษณ์ยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมดนี้จะได้รับการปกป้องเป็นอย่างรัดกุม ตั้งแต่ระบบหลังบ้านที่ออกแบบมาอย่างดี และการจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าถึงข้อมูลและใช้ตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด แม้แต่เซิร์ฟเวอร์ก็เก็บรักษาดูแลที่มูลนิธิกระจกเงา

“ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุด ระบบข้อมูลต่างๆ ผ่านการคิดและออกแบบมาอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะต้องมีบุคคลมาช่วยทำงานหลังบ้านและประสานงาน แต่ก็มีการจำกัดสิทธิ์ผู้ที่เข้าถึงได้เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ 8 คนโดยใช้ข้อมูลเพื่อการตามหาคนหายเท่านั้น ในกรณีที่มีการสแกน QR Code ที่ริสแบนด์ จะมีข้อความขึ้นในจอมือถือว่า ‘บุคคลนี้ต้องการความช่วยเหลือ โปรดนำส่งสถานีตำรวจใกล้เคียง หรือติดต่อที่หมายเลขสายด่วนของศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา’ เท่านั้น ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของผู้สวมใส่ได้” เอกลักษณ์ย้ำ

นอกจากนี้ วิธีการหลักในการติดตามคนหายจะเน้นไปที่งานเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบไปยังเครือข่ายต่างๆ  มีการสืบสวน ติดตาม ลงพื้นที่ไปหาข่าว ส่วนวิธีการประกาศที่ต้องเปิดเผยข้อมูลผู้พลัดหลงมีเพียงจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็น

“ประกาศคนหายที่เห็นเป็นเพียง 30% ของเคสที่รับแจ้งเท่านั้น และต้องได้รับการตรวจสอบและความยินยอมจากญาติ เราคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมาเสมอ ขอให้มั่นใจได้ว่าโครงการนี้รับผิดชอบต่อข้อมูลของทุกคนที่สมัครเข้ามา”

ศูนย์ข้อมูลคนหายที่ไม่มีเวลาปิดทำการ

อีกหนึ่งส่วนงานที่มีความสำคัญอย่างมากคือ งานหลังบ้านของศูนย์ข้อมูลคนหายที่คอยรับแจ้งเหตุและประสานงานอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เรียกว่าไม่มีเวลาปิดทำการ เพื่อช่วยดูแลจนกว่าผู้พลัดหลงจะได้กลับสู่บ้านอย่างปลอดภัย

“เมื่อพลเมืองดีสแกน QR Code ที่ริสแบนด์ ก็จะมีข้อความแจ้งมายังทีมงานเพื่อประสานให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว หรือส่วนมากพลเมืองดีก็มักจะโทรเบอร์สายด่วนที่อยู่บนริสแบนด์เข้ามาเลย ทีมงานก็จะรีบทำการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ทันที” เอกลักษณ์อธิบาย

กระบวนการหลังได้รับแจ้งเหตุนั้น ทีมงานจะพูดคุยกับผู้แจ้งเหตุเพื่อขอโลเคชั่นและรูปถ่ายของผู้พลัดหลง รวมถึงรหัส PIN บนริสแบนด์ เพื่อเทียบเคียงตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจึงแจ้งแนวทางในการช่วยเหลือต่อไป

“เมื่อทีมงานได้ระบุตัวตนของผู้พลัดหลงได้แล้ว ก็จะรีบติดต่อไปที่ญาติตามที่ให้ข้อมูลไว้ ซึ่งระหว่างนี้ก็จะขอให้พลเมืองดีช่วยดูแลก่อน แต่ถ้าไม่ได้ก็จะรีบประสานงานกับสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ช่วยรับช่วงต่อก่อนที่จะญาติจะมา ซึ่งเราจะอยู่ประสานงานจนกว่าพวกเขาจะได้กลับบ้าน โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเลย”

เราทุกคนมีส่วนช่วยดูแลปัญหาคนหายได้

ถึงตรงนี้ หลายคนคงเกิดคำถามว่า หากผู้พลัดหลงกลุ่มนี้ไม่ได้ใส่ริสแบนด์หาย(ไม่)ห่วงจะเป็นอย่างไร  “ก็อาจเป็นเหมือนหลายๆ คนที่เรายังคงตามหาเขาอยู่” เอกลักษณ์ตอบ พลางมองไปรอบห้องทำงานที่มีประกาศของคนหายมากมาย

“ลองจินตนาการว่า ถ้ามีคุณยายคนหนึ่งพลัดหลงและหลงลืม กลับบ้านตัวเองไม่ได้ อาจมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยคุณยาย บอกให้นั่งรอเพื่อเรียกตำรวจมาช่วยพาไป แต่คุณยายกลับตกใจเดินหนีต่อไปท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งอาจเป็นลม เสี่ยงกับอุบัติเหตุต่างๆ เพราะอยู่ท่ามกลางอันตรายได้ทุกรูปแบบ ถ้าได้รับบาดเจ็บคุณยายอาจถูกนำส่งโรงพยาบาล กลายเป็นผู้ป่วยไม่ทราบชื่อ โอกาสในก็ตามหาก็ยากยิ่ง และจะยากยิ่งกว่าหากเสียชีวิตและกลายเป็นศพนิรนาม

“ดังนั้น ความปลอดภัยคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งริสแบนด์ของโครงการหาย(ไม่)ห่วงที่มีต้นทุนเส้นละ 170 บาทสามารถรักษาชีวิตของคนคนหนึ่งได้และพาเขากลับบ้านไปหาครอบครัวอย่างปลอดภัย ซึ่งทรูก็ได้ช่วยดูแลสนับสนุนส่วนนี้มาตลอด ผู้ลงทะเบียนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเราจัดส่งให้ถึงบ้านทุกคน” เอกลักษณ์สรุป

ปัญหาคนหายเป็นปัญหาสังคมที่เป็นสากล นั่นคือ ทุกประเทศในโลกเจอปัญหานี้ทั้งสิ้น เพียงแต่จะมีการบริหารจัดการต่อปัญหานี้อย่างไร เพราะในความจริงแล้วผู้สูงวัยที่มีอาการหลงลืม หรือบุคคลออทิสติกก็ยังต้องใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตระหนักรู้ปัญหาและความช่วยเหลือกันของคนในสังคม

“คนอาจมองว่าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ถ้าไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงก็จะแก้ไม่ได้เลย จุดมุ่งหมายตอนนี้เราอยากให้สังคมตระหนักต่อปัญหาคนหาย เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ได้ จากการทำงานที่เราเจอคนหายแทบทุกเคส มาจากที่คนในสังคมไม่นิ่งดูดาย ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กัน และที่สำคัญคือรู้วิธีปกป้องตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด” เอกลักษณ์ทิ้งท้าย






Tags: หาย(ไม่)ห่วง
ShareTweetShare

Related Posts

No Content Available
Load More
  • ยินดีต้อนพับ!! สัมผัสเครื่องจริง Samsung Galaxy Z Fold5, Galaxy Z Flip5, Galaxy Tab S9 Series และ Galaxy Watch6 Series พร้อมบุกตลาดประเทศไทยแล้ว

    ยินดีต้อนพับ!! สัมผัสเครื่องจริง Samsung Galaxy Z Fold5, Galaxy Z Flip5, Galaxy Tab S9 Series และ Galaxy Watch6 Series พร้อมบุกตลาดประเทศไทยแล้ว

    356 shares
    Share 0 Tweet 0
  • วาร์ปสู่โลกใหม่!! สัมผัสเครื่องจริง Samsung Galaxy S24 Series ครบทุกรุ่นทุกสี พร้อมใช้งาน Galaxy AI สุดล้ำ

    101 shares
    Share 0 Tweet 0
  • รีวิว Samsung Galaxy Tab A9+ แท็บเล็ตสุดคุ้มจอ 11 นิ้วรีเฟรช 90Hz ใช้ชิป Snapdragon 695 รองรับ 5G ระบบเสียง Dolby Atmos ราคา 8,990 บาท

    0 shares
    Share 0 Tweet 0
  • รีวิว Samsung Galaxy S23 FE มาอย่างพี๊คคค สเปกแฟล็กชิป ในราคาเป็นมิตร จอ 120Hz กล้องหลัง 3 ตัว 50MP ซูม 3x คมกริบ แบต 4,500mAh

    502 shares
    Share 0 Tweet 0
  • เปรียบเทียบ 2 เรือธงแห่งปี Galaxy S25 Ultra vs iPhone 17 Pro Max

    788 shares
    Share 0 Tweet 0

Browse by Category

  • AIS
  • Android
  • App Free
  • BlackBerry 10
  • dtac
  • EV Car
  • Feature
  • Flashfly Online Channel
  • Games
  • iPhone
  • Lifestyle
  • NEWS
  • Nintendo
  • Nokia
  • OPPO
  • Playstation
  • PR News
  • Recommended
  • Review & Preview
  • Samsung
  • Smartphone
  • Tips&Tricks
  • Truemove H
  • Windows Phone

Recent News

MLS จะใช้ iPhone 17 Pro ถ่ายทอดสดคู่ชิงระหว่าง Inter Miami กับ Vancouver Whitecaps

MLS จะใช้ iPhone 17 Pro ถ่ายทอดสดคู่ชิงระหว่าง Inter Miami กับ Vancouver Whitecaps

December 5, 2025
Apple Watch พร้อมให้บริการการแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูงในประเทศไทยแล้ววันนี้

Apple Watch พร้อมให้บริการการแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูงในประเทศไทยแล้ววันนี้

December 4, 2025
  • About
  • Advertise
  • Privacy & Policy
  • Contact

© 2021 FlashFly.net. window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-6SFV8YRF40');

No Result
View All Result
  • NEWS
  • Review & Preview
  • iPhone
  • Android
  • Smartphone
  • Games

© 2021 FlashFly.net. window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-6SFV8YRF40');