บันทึกล่าสุดของ Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์จาก KGI Securities ได้บอกว่า iPhone X คือความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ของ Apple ทั้งเรื่องราคาและเทคโนโลยี โดยเฉพาะฟีเจอร์ Face ID ที่เขาเชื่อมั่นว่านำหน้าคู่แข่งไปถึง 2 ปี และในปีนี้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทางฝั่ง Android พยายามลอกเลียนแบบระบบปลดล็อคด้วยใบหน้ามากขึ้น
iPhone X ยังประสบความสำเร็จในการกำหนดราคาที่เริ่มต้นถึง 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (หรือ 40,500 บาท สำหรับประเทศไทย) ซึ่งเป็นราคา iPhone ที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ได้ยกระดับให้ iPhone X เป็น iPhone ระดับพรีเมี่ยม และ Apple ต้องการรักษามาตรฐานนี้ไว้ จึงตัดสินใจยุติการผลิต iPhone X ในกลางปีนี้ แทนที่จะลดราคาลงเหมือน iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา
Ming-Chi Kuo มองว่า ถ้าหาก Apple ยังทำตลาด iPhone X ต่อไปด้วยการลดราคา จะส่งผลกระทบกับ iPhone รุ่นใหม่ รวมถึงมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ดังนั้น Apple จะใช้วิธีผลิต iPhone X รุ่นที่ 2 ออกมาแทน และวางจำหน่ายในราคาเดิม ขณะเดียวกันก็ยังมี iPhone ระดับพรีเมี่ยมที่มีราคาสูงกว่า iPhone X โดยใช้จอแสดงผล OLED ที่มีขนาดใหญ่กว่า อีกทั้ง iPhone รุ่นเก่าก็ยังอยู่ในตลาดต่อไป
เว็บไซต์ MacRumors คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 จะมี iPhone ทำตลาดด้วยกัน 8 รุ่น ดังต่อไปนี้
- iPhone รุ่นใหม่ ใช้จอแสดงผล LCD ขนาด 6.1 นิ้ว ราคา 649 – 749 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 20,670 – 23,850 บาท
- iPhone รุ่นใหม่ ใช้จอแสดงผล OLED ขนาด 5.8 นิ้ว (รุ่นอัพเกรดของ iPhone X) ราคาเริ่มต้น 999 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 31,810 บาท
- iPhone รุ่นใหม่ ใช้จอแสดงผล OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 34,990 บาท
- iPhone 8 ราคาเริ่มต้น 549 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 17,480 บาท
- iPhone 8 Plus ราคาเริ่มต้น 669 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 21,230 บาท
- iPhone 7 ราคาเริ่มต้น 449 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 14,300 บาท
- iPhone 7 Plus ราคาเริ่มต้น 569 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 18,120 บาท
- iPhone SE ราคาเริ่มต้น 349 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 11,120 บาท
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/?p=206183