มาแล้วรีวิวฉบับเต็มของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงครึ่งปีแรกของปี 2018 ที่แฟนๆ Samsung รอคอยนั่นก็คือ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ หลังจากที่ Samsung ได้เปิดตัวเรือธงคู่นี้ในประเทศไทยพร้อมกับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งาน Mobile World Congress 2018 เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่นั้นประเทศไทยยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแรกที่ได้สิทธิ์วางจำหน่าย Galaxy S9 series ก่อนใคร โดยทีมงาน @flashfly ก็ได้ทำการพรีวิว และแกะกล่องไปตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวไปเรียบร้อย ซึ่งล่าสุด Samsung ก็ได้วางจำหน่าย Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ทั่วประเทศไทยอย่างทางการแล้ววันนี้
ก่อนที่ Samsung จะเปิดตัว Galaxy S9 และ Galaxy S9+ เราได้เห็นภาพหลุดและภาพเรนเดอร์ออกมามากมาย ซึ่งในเบื้องต้นหลายคนอาจจะคิดเหมือนกันว่า Galaxy S9 series ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจาก Galaxy S8 series แต่หลังจาก Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ถูกเปิดตัวออกมาอย่างทางการ กลับพบว่าภายใต้ดีไซน์ที่ดูคล้ายของเดิม ได้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่หลายคนคิด
เริ่มจากสิ่งที่คล้ายของเดิมก่อน Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ใช้ดีไซน์ Infinity Display ที่ถ่ายทอดมาจาก Galaxy S8 series ซึ่งการใช้ของเดิมไม่ได้หมายความว่าเป็นอะไรที่แย่ ดีไซน์ Infinity Display หมายถึงจอแสดงผลที่กว้างจนสุดขอบ ซึ่ง Samsung ได้รับคำชมในเรื่องการออกแบบตั้งแต่รุ่นที่แล้ว จึงนำมาใช้กับ Galaxy Note 8 และล่าสุดกับ Galaxy S9 series โดยมาพร้อม 2 สีใหม่สุดงามนั่นก็คือสีม่วง Lilac Purple และสีน้ำเงิน Coral Blue
ความแตกต่างภายใต้รูปทรงเดิมก็คือ การเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานมากขึ้น Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ผลิตด้วยเฟรมอลูมิเนียม ซีรีส์ 7000 แข็งแรงกว่าเดิม 1.2 เท่า ส่วนกระจกที่ใช้ก็หนาขึ้นกว่าเดิม 20% ดังนั้น Galaxy S9 series ควรจะแข็งแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับ Galaxy S8 series แต่ก็ทำให้ขอบด้านข้างหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย Galaxy S8 มีความบาง 8 มิลลิเมตร ส่วน Galaxy S9 มีความบาง 8.5 มิลลิเมตร
Samsung Galaxy S9 และ S9+ ยังได้รับมาตรฐานในการป้องกันน้ำและฝุ่น IP68 ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้ำได้ เช่น เผลอทำน้ำหกใส่สมาร์ทโฟน หรือ เผลอทำตกในสระน้ำ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะ IP68 หมายถึง สมาร์ทโฟนจะสามารถอยู่ในน้ำได้นานสูงสุด 30 นาที ที่ความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร แต่ต้องเป็นน้ำจืดและน้ำสะอาด
Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ใช้จอแสดงผล Super AMOLED ขอบโค้ง ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 18.5:9 ขนาด 5.8 นิ้ว และ 6.2 นิ้ว ตามลำดับ เหมือนกับ Galaxy S8 series แต่จอแสดงผลของ Galaxy S9 series ให้สีดำสนิทกว่า ทำให้สวยงามยิ่งขึ้น เพราะเซ็นเซอร์ต่างๆ จะถูกซ่อนไว้ได้มิดชิดกว่า
อย่างที่บอกไปว่าภายใต้ดีไซน์เดิม ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง และ ระบบเสียง ก็คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง Galaxy S9 series มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอแบบ 360 องศาขับเสียงผ่านลำโพงด้านล่าง กับลำโพงด้านบน (ตัวเดียวกับลำโพงหูฟังที่ใช้สนทนา) โดยได้รับการปรับแต่งเสียงจาก AKG และยังมีระบบเสียงรอบทิศทางจาก Dolby Atmos แทบไม่ต้องบรรยายเลยว่าเมื่อชมคลิปวิดีโอจากจอ Infinity Display ที่เป็นธรรมชาติกว่าเดิมผนวกกับระบบเสียงคุณภาพสูงจาก AKG จะสุดยอดขนาดไหน และที่หลายคนโล่งอกเพราะ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ยังคงมีช่องหูฟัง 3.5 มม.อยู่
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ที่ด้านหลัง โดย Samsung เคยทำผิดพลาดกับ Galaxy S8 series ที่วางเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ข้างเลนส์กล้อง ทำให้บ่อยครั้งที่เลนส์กล้องเกิดรอยนิ้วมือโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมึการย้ายตำแหน่งใหม่ใน Galaxy S9 series โดยวางเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้เลนส์กล้อง ซึ่ง Samsung วิเคราะห์ออกมาแล้วว่าปลายนิ้วของผู้ใช้งานจะสัมผัสเซ็นเซอร์ได้อย่างสะดวกที่สุด
เมื่อพูดถึงกล้องด้านหลัง เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอีกจุดหนึ่งจาก Galaxy S9+ เพราะมาพร้อมระบบกล้องคู่ ส่วน Galaxy S9 ยังคงใช้กล้องเลนส์เดียว แต่กล้องตัวหลักของทั้งคู่มีสเปกเดียวกัน และคุณสมบัติกล้องของ Galaxy S9 series ถือเป็นจุดแข็งที่สุดที่ Samsung ภูมิใจนำเสนอ ส่วนจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามอ่านกันต่อได้เลย
ก่อนอื่นเรามาดูกันที่รุ่น Galaxy S9 ใช้กล้อง 12 ล้านพิกเซล เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือเทคโนโลยี Super Speed Dual Pixel ที่ช่วยให้จับโฟกัสได้รวดเร็วขึ้น คมชัดขึ้น และยังมีรูรับแสง 2 ขนาด คือ F1.5 กับ F2.4 ยิ่งค่า F น้อย หมายถึงกล้องจะถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น และ Galaxy S9 ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มีขนาดรูรับแสงกว้างถึง F1.5 อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีลดภาพสั่นไหว OIS
สำหรับ Galaxy S9+ ใช้กล้องตัวเดียวกับ Galaxy S9 แต่เพิ่มกล้องตัวที่สองเข้ามา เป็นเลนส์เทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 และมาพร้อม OIS ทั้ง 2 เลนส์ ทำให้ Galaxy S9+ รองรับโหมดถ่ายภาพ Live Focus หรือละลายฉากหลัง เหมือนกับ Galaxy Note 8 แต่มีการเพิ่มเอฟเฟ็กต์ Bokeh เข้ามา เหมาะสำหรับถ่ายภาพบุคคลในช่วงเวลากลางคืน และพื้นหลังเต็มไปด้วยแสงไฟ เมื่อเลือกฟิลเตอร์ Bokeh จะสามารถละลายฉากหลัง และเปลี่ยนดวงไฟของฉากหลังให้เป็นรูปทรงอื่นได้ เช่น รูปดาว, หัวใจ, เกร็ดหิมะ, ผีเสื้อ เป็นต้น
กล้องของ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ สามารถเลือกขนาดรูรับแสงได้เอง ตามสภาพแสงในขณะที่ถ่ายรูป เมื่อแสงน้อยหรือถ่ายภาพในเวลากลางคืนก็จะเลือกใช้รูรับแสง F1.5 เมื่อถ่ายภาพในสภาพแสงปกติก็จะใช้รูรับแสง F2.4 แต่ผู้ใช้งานก็สามารถเลือกค่า F ได้ตามต้องการ เมื่อถ่ายภาพในโหมดโปร
ด้วยค่ารูรับแสง F1.5 ผสมสานกับเทคโนโลยี Super Speed Dual Pixel ทำให้ Galaxy S9 และ S9+ สามารถถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้รวดเร็วขึ้น โดยที่ภาพยังออกมาสวยงามคมชัด แทบไม่มีจุดรบกวนบนภาพถ่ายโดย DXoMark ได้ทำการทดสอบยกให้กล้องของ Galaxy S9+ มีคะแนนสูงที่สุด สูงกว่าคู่แข่งทั้ง Huawei Mate 10 Pro,iPhone X และ Pixel 2 กลายเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดทันที
การบันทึกวีดีโอก็มีความน่าสนใจมากกว่าเดิม ด้วยโหมด Super Slow-mo ความละเอียด HD ให้เฟรมเรทสูงถึง 960 เฟรมต่อวินาที ทำให้คุณได้ภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามไม่เหมือนใคร และสามารถแก้ไขภาพ Super Slow-mo โดยการเพิ่มเสียงเพลงลงในคลิปวีดีโอ หรือเลือกให้คลิปเดินหน้า หรือย้อนกลับได้อีกด้วย และแปลงเป็นไฟล์รูปภาพ GIF ได้
ส่วนการบันทึกวีดีโอปกติ ก็รองรับความละเอียดสูงสุด 4K UHD ที่เฟรมเรท 60 เฟรมต่อวินาที อีกทั้งยังรองรับรูปแบบไฟล์มาตรฐานใหม่ HEVC ที่ประหยัดพื้นที่มากกว่ามาตรฐานเดิมถึง 40%
กล้องเซลฟี่ของ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ใช้สเปกเดียวกัน มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมระบบออโต้โฟกัส รูรับแสง F1.7 เหมือนกับ Galaxy S8 series แต่สร้างความแตกต่างด้วยซอฟต์แวร์ โดย Galaxy S9 series มาพร้อมฟีเจอร์ AR Emoji ที่สามารถสร้างรูปภาพ Emoji โดยใช้ใบหน้าของตัวเองเป็นแบบ แล้วให้ซอฟต์แวร์นำใบหน้าไปสร้างเป็นภาพการ์ตูนขึ้นมาให้ดูน่ารักขึ้น พร้อมเครื่องมือในการตกแต่งเพิ่มเติม อย่างแว่นตาหรือเสื้อผ้า
ผู้ใช้งานสามารถนำ AR Emoji ที่สร้างขึ้นมาจากใบหน้าตัวเอง มาสร้างเป็นสติกเกอร์ได้ การเคลื่อนไหวของภาพก็จะเลียนแบบท่าทางของผู้ใช้เอง หรือจะบันทึกเป็นไฟล์วีดีโอก็ไม่จำกัดระยะเวลาอีกด้วย
กล้องของ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ไม่ได้มีไว้ใช้ถ่ายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำงานร่วมกับผู้ช่วยดิจิตอล Bixby และเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เพื่อใช้ค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่มองเห็นผ่านเลนส์กล้อง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้าง หรืออาคารต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งยังสามารถแปลภาษาจากป้ายข้อความได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับพกพาไปท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ฟีเจอร์ App Pair จับคู่แอพโปรดไว้ที่หน้าจอ Edge Screen แตะทีเดียวเปิดออกมาพร้อมกัน 2 แอพให้หน้าจอเดียวเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอย่างมากไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดไล่ทีละแอพ ซึ่งเราสามารถจับคู่แอพโปรดได้ตามใจอีกด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Samsung ใส่เข้ามาใน Galaxy Note 8 เป็นรุ่นแรกและก็นำมาใช้ในรุ่นเรือธงทั้ง 2 รุ่นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ปลอดภัยยิ่งขึ้น Galaxy S9 และ Galaxy S9+ มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายทั้งการสแกนลายนิ้วมือ ระบบจดจำใบหน้า สแกนม่านตา รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
แต่สิ่งที่ทำให้ Galaxy S9 series มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยมากขึ้นก็คือ เทคโนโลยี Intelligent Scan ที่ผสานการทำงานของระบบจดจำใบหน้า กับการสแกนม่านตาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การปลดล็อคมีความแม่นยำและรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถปลดล็อคได้แม้อยู่ในที่แสงน้อยโดยระบบจะเลือกใช้สแกนใบหน้าเมื่ออยู่ในที่แสงสว่าง ถ้าอยู่ในที่มืดหรือที่แสงน้อยจะเปลี่ยนไปใช้สแกนม่านตาแทน
Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ มากับชิปประมวลผลระดับเรือธงรุ่นใหม่ Exynos 9810 64-bit Octa Core ผลิตด้วยเทคโนโลยี 10 นาโนเมตร พร้อมด้วยจีพียู Mali-G72 MP18 ไม่ว่าจะเล่นเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนักขนาดไหนก็ตอบสนองได้อย่างลื่นไหล ข้อได้เปรียบของ Galaxy S9+ ก็คือ มากับ RAM 6GB ส่วน Galaxy S9 ได้รับ RAM 4GB อีกทั้งความเร็วของชิปประมวลผลก็ดูเหมือน Galaxy S9+ จะถูกปรับแต่งให้มีตัวเลขสูงกว่าเล็กน้อย ด้านความจุภายใน Galaxy S9 มีให้เลือกรุ่นเดียว 64GB แต่ Galaxy S9+ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ 64GB, 128GB และรุ่นพิเศษ 256GB ทั้งคู่สนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 400GB
ชิปประมวลผล Exynos 9810 ยังช่วยให้ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ สนับสนุนเทคโนโลยี Gigabit LTE สามารถดาวน์โหลดข้อมูลผ่านเครือข่าย LTE ด้วยความเร็วสูงสุด 1.2Gbps หรือ อัพโหลดสูงสุด 200Mbps ถึงแม้การใช้งานจริงจะทำความเร็วไม่ถึงระดับนี้ แต่ก็ยังมีความเร็วกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ใช้ชิปโมเด็มรุ่นเก่ากว่า แน่นอนว่าการเล่นเกมออนไลน์ลื่นไหลแบบสุดๆไม่มีสะดุดให้เสียอารมณ์อย่างแน่นอน
Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วทั้งแบบต่อสายปกติ และผ่านอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย ซึ่งการชาร์จเร็วผ่านสายจะใช้เวลาเร็วกว่า ส่วนการชาร์จไร้สายจะได้รับความสะดวกในการใช้งานมากกว่า ทั้งนี้ Galaxy S9 มีความจุแบตเตอรี่ 3,000mAh ส่วน Galaxy S9+ มีความจุแบตเตอรี่ 3,500mAh เพราะใช้จอแสดงผลใหญ่กว่า
สำหรับใครที่ต้องการใช้งาน Samsung Galaxy S9 หรือ Galaxy S9+ อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราขอแนะนำให้รับ DeX Pad ไว้พิจารณา ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ กลายเป็นคอมพิวเตอร์ Desktop สามารถส่งภาพจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอภาพที่เชื่อมต่อผ่านสาย HDMI และใช้ Galaxy S9 หรือ S9+ ทำหน้าที่เป็นทัชแพด เมื่อเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ DeX Pad การแสดง User Interface บนจอภาพภายนอก ก็จะถูกปรับให้เหมาะสมในรูปแบบ Desktop ด้วย น่าเสียดายที่ DeX Pad เป็นอุปกรณ์เสริมที่ไม่แถมมาให้ในกล่อง
 Samsung Galaxy S9 หรือ Galaxy S9+ ตอบสนองทั้งการทำงานและความบันเทิง เพราะนี่คือสมาร์ทโฟนระดับเรือธง ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเน้นการถ่ายภาพเป็นพิเศษ และปรับปรุงคุณภาพกล้องให้ดีกว่ารุ่นก่อนไปเยอะพอสมควร ซึ่งตอนนี้คุณสามารถเข้าไปสัมผัสตัวจริงกันได้แล้วที่ ซัมซุง แบรนด์ ช้อป ทั่วประเทศ
Samsung Galaxy S9 วางจำหน่ายในราคา 27,900 บาท ส่วน Galaxy S9+ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ 64GB ราคา 31,900 บาท, 128GB ราคา 33,900 บาท และ 256GB ราคา 37,900 บาท มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ (Midnight Black), สีฟ้า (Coral Blue) และสีม่วง (Lilac Purple) ซึ่งถ้าซื้อติดแพคเกจกับทางค่ายมือถือลดค่าถึง 10000 บาทเลยทีเดียว รวมถึงยังมีโปรโมชั่นน้ำสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามาเป็นส่วนลดแลกซื้อ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ เครื่องใหม่อีกด้วย
ปิดท้ายด้วยตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ แบบไม่ปรับแต่งใดๆ เพียงแค่ย่อขนาดลงมาเท่านั้น

บทความโดย – www.flashfly.net
//To track Impressions use the following URL: