รายงานจาก Counterpoint Research พบว่า Apple สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอินเดียให้กับ Samsung โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ Apple มีส่วนแบ่ง 18% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2017 ที่ทำได้ถึง 45% ขณะที่ Samsung ได้รับส่วนแบ่งมากถึง 50% รองลงมาเป็น OnePlus มีส่วนแบ่ง 25% ทั้งนี้ ส่วนแบ่งดังกล่าว เป็นผลสำรวจจากสมาร์ทโฟนที่มีราคามากกว่า 30,000 รูปี หรือราว 14,300 บาท
สาเหตุที่ทำให้ยอดขาย iPhone ในอินเดียลดลง มาจากทางการของอินเดียมีการปรับภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 2 ครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จาก 10% เป็น 20% ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Counterpoint Research กล่าวว่า Apple ยังคงพบกับความยากลำบากในอินเดียในระยะสั้นและระยะกลาง จนกว่าจะมี iPhone ที่มีราคาถูกลง โดยจะต้องจับมือกับผู้ผลิตในท้องถิ่น เพื่อกดราคา iPhone ให้อยู่ในระดับ 50,000 – 60,000 รูปี หรือราว 23,750 – 28,500 บาท จึงสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
iPhone X รุ่น 256GB ในอินเดีย วางจำหน่ายในราคา 108,930 รูปี หรือราว 51,750 บาท ขณะที่ Samsung Galaxy S9+ มีราคา 72,900 รูปี หรือราว 34,650 บาท
ในประเทศจีน นักวิเคราะห์ของ UBS คาดการณ์ว่ายอดขาย iPhone ในปีงบประมาณ 2018 จะลดลง 47 ล้านเครื่อง ขณะที่เคยทำได้ 71 ล้านเครื่องในปี 2015 ส่วนแบ่งการตลาดในจีนก็จะลดลงเหลือ 37% ในปีนี้ จากที่เคยมีส่วนแบ่ง 54% ในปี 2015 ซึ่งเป็นปีที่ iPhone 6s ได้รับความนิยมอย่างมาก
ปัญหาที่ Apple ต้องเผชิญในประเทศจีน มาจากแบรนด์ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งมากขึ้น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนของประเทศจีนมีร้านค้าในเครือข่ายมากกว่า อย่างแบรนด์ Oppo, Vivo และ Huawei มีร้านค้าที่เป็นตัวแทนมากกว่า 100,000 ราย ขณะที่ Apple มีเพียง 4,000 ราย เท่านั้น
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/?p=217041