





















ต่อมาจะเป็นแจ้งเปิดใช้งานหน้าจอ True Tone ที่มีมาเฉพาะในรุ่นนี้ สำหรับปรับสีบนหน้าจอให้เป็นธรรมชาติตามสภาพแสงที่อยู่รอบๆตัวเราขณะใช้งาน สามารถกดดูความแตกต่างระหว่างใช้กับไม่ใช้ True Tone ได้ ซึ่งจะเห็นแบบชัดเจนเวลาพิมพ์งาน หรืออ่านข้อความบนฉากหลังสีขาว







พื้นที่แทร็คแพดยังคงมีขนาดใหญ่ใช้งานสะดวก มาพร้อมเทคโนโลยี Force Touch ช่วยในการรับรู้แรงกด และรองรับ Multi-Touch สามารถใช้งานได้ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งพาเมาส์





MacBook Pro 2018 รุ่น 15 นิ้ว เริ่มต้นด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Core i7 เจนเนอเรชั่น 8 แบบ 6-core ความเร็ว 2.6GHz พร้อม Turbo Boost สูงสุด 4.3GHz แต่สามารถอัพเกรดมาใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i9 เจนเนอเรชั่น 8 แบบ 6-core ความเร็ว 2.9GHz พร้อมด้วย Turbo Boost สูงสุด 4.8GHz ซึ่งทำงานได้รวดเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 70%


ด้านความจำ RAM เป็นแบบ DDR4 ความเร็ว 2400MHz ขนาด 16GB หรืออัพเกรดเป็น 32GB ส่วนความจุหรือพื้นที่เก็บข้อมูลภายในเป็นแบบ SSD เริ่มต้นที่ 512GB และสามารถอัพเกรดได้สูงสุด 4TB ซึ่งทีมงานได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องด้วย Geekbench 4 พบว่าทำคะแนนได้สูงทั้งแบบ Single Core และ Multi-Core เป็นรองเพียงรุ่นใหญ่อย่าง iMac Pro และ Mac Pro เท่านั้น




ด้วยความแรงของ MacBook Pro 2018 นี้ช่วยให้การใช้งานทุกอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการ รีทัชรูปภาพความละเอียดสูงใน Photoshop การ ตัดต่อคลิปด้วยไฟล์วิดีโอ Apple ProRes RAW ระดับ 4K ใน Final Cut Pro X ได้สูงสุดถึง 9 สตรีมบน MacBook Pro หน้าจอ 15 นิ้ว การเรนเดอร์โมเดล 3D ก็ทำได้อย่างลื่นไหลแบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในการเขียน Code แล้วนำไปรันบนระบบทดสอบหลายระบบพร้อมกัน แน่นอนว่าเรื่องการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกสวยๆก็ทำได้ดีกว่าที่เคยมีมาแน่นอน

บทความโดย – www.flashfly.net












