Apple เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมากับชิปประมวลผล A12X Bionic พร้อมด้วย Neural Engine รุ่นใหม่ Apple อ้างว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในตลาด แต่ iPad Pro เหมาะที่จะนำมาใช้งานแทนแล็ปท็อปได้หรือไม่ เรามี 5 เหตุผลมาช่วยสนับสนุน ดังต่อไปนี้
การออกแบบ
iPad Pro รุ่นใหม่ในปี 2018 ได้รับการออกแบบใหม่หมด ไม่มีปุ่มโฮมที่ฝัง Touch ID มาให้อีกต่อไป ทำให้สามารถขยายจอแสดงผลให้กว้างขึ้นจนชิดขอบ ส่งผลให้ขนาดบอดี้เล็กลงจากเดิม เห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับ 12.9 นิ้ว รุ่นปี 2018 กับ 2017 จะพบว่ารุ่นใหม่ที่ขนาดโดยรวมเล็กลง 25%
iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว (2018) ยังมีความบางเพียง 5.9 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 631 กรัม (สำหรับรุ่น Wi-Fi) ทำให้พกพาได้สะดวกกว่ารุ่นก่อน
จอแสดงผล
iPad Pro รุ่นใหม่ ได้รับการออกแบบจอแสดงผลใหม่แบบ edge-to-edge ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก iPhone X series ใช้จอภาพ Liquid Retina ขนาด 12.9 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี IPS แบ็คไลท์แบบ LED และสนับสนุน TrueTone, NightShift, P3 Wide-Color ที่ช่วยให้การแสดงผลมีความคมชัด และให้สีสันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว (2018) มีพื้นที่จอแสดงผลถึง 85.4% ขณะที่รุ่นก่อนมีพื้นที่เพียง 76.4% เมื่อเทียบกับขนาดบอดี้ นอกจากนี้ยังให้อัตราการรีเฟรช 120Hz และสนับสนุนการใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวพร้อมกันในปลายเดือนที่แล้ว
ประสิทธิภาพ
ชิปประมวลผล A12X Bionic ที่ฝังอยู่ใน iPad Pro รุ่นใหม่ เป็นความถูมิในของ Apple ถึงขนาดกล้าบอกว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในตลาด โดยชิปผลิตขึ้นจากเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ประกอบด้วยแกนประมวลผลการ 4 ตัว และแกนประหยัดพลังงาน 4 ตัว เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานแบบแกนเดียวเร็วขึ้นถึง 35% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด 90% เมื่อทำงานพร้อมกัน 8 แกน
คุณภาพกราฟิกระดับคอนโซล ด้วยจีพียู 7 แกน ให้ประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิกสูงขึ้น 2 เท่า และยังมาพร้อม Neural Engine รุ่นใหม่ ยมีความเร็วในการประมวล 5 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ช่วยในด้านการเรียนรู้ของเครื่องขั้นสูงทุกรูปแบบตั้งแต่การถ่ายภาพไปจนถึง AR
iPad Pro รุ่นใหม่ ยังเปลี่ยนมาใช้ Face ID ซึ่งมีความปลอดภัยและทำงานผิดพลาดน้อยกว่า Touch ID แบบเดิม โดยใช้ระบบกล้อง TrueDepth แบบเดียวกับ iPhone X series ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ ใช้บริการ Apple Pay ด้วยการสแกนใบหน้า และยังสนับสนุนฟีเจอร์ Animoji และ Memoji เหมือนกับ iPhone X series นอกจากนี้ Face ID ของ iPad Pro รุ่นใหม่ ยังทำงานได้ไม่ว่าจะจับอุปกรณ์ให้อยู่ในแนวตั้งหรือแนวนอน
การเชื่อมต่อใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ iPad Pro รุ่นใหม่ คือการเปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อจาก Lightning มาใช้ USB-C ซึ่งมีความเป็นสากลมากกว่า ทำให้ iPad Pro เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอก ที่มีความละเอียด 4K ถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงตามมาตรฐาน USB 3.1 รุ่นที่ 2 มีแบนด์วิธสูงถึง 2 เท่า และยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ iPhone ได้ด้วย
อุปกรณ์เสริมและซอฟต์แวร์
iPad Pro รุ่นใหม่ รองรับ Smart Keyboard Folio ที่ช่วยให้ iPad Pro ทำงานได้ในรูปแบบแล็ปท็อป และรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ความแตกต่างในการใช้งานระหว่าง iPad Pro กับแล็ปท็อป โดยเฉพาะแล็ปท็อปจาก Apple นั่นก็คือ iPad Pro ใช้จอสัมผัส ส่วน MacBook ยังใช้เม้าส์ และยังไม่มีทางที่เราจะเห็น Apple ผลิต MacBook ที่ใช้จอสัมผัสออกมาในเร็วๆ นี้ นั่นหมายถึง การที่เจ้าของ MacBook จะได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบ iPad Pro ยังไม่มีความเป็นไปได้ แต่ในทางกลับกัน iPad Pro ซึ่งมาพร้อม USB-C ที่รองรับอุปกรณ์เสริมที่กว้างขวาง ช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานใกล้เคียงแล็ปท็อปมากไปทุกที
ด้านซอฟต์แวร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ iPad Pro สามารถช่วยทำงานได้แทนคอมพิวเตอร์ ทั้งชุด Office จาก Microsoft และแอพพลิเคชั้น Photoshop จาก Adobe และในอนาคตมีแนวโน้มว่านักพัฒนาจะผลักดันซอฟต์แวร์ให้ทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ระหว่าง Mac กับ iOS
ทั้งนี้ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมวางจำหน่ายในไทยแล้ว ราคาเริ่มต้น 28,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และ 35,900 บาท สำหรับรุ่น 12.9 นิ้ว
ที่มา – iDropNews
http://www.flashfly.net/wp/?p=234624