นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย New York และ Princeton พบว่าผู้สูงอายุชาวอเมริกัน มีการแชร์ข่าวปลอม มากกว่าคนที่มีอายุน้อยกว่า โดยไม่จำกัดถึงระดับการศึกษา, เพศ, เชื้อชาติ, รายได้ หรือ จำนวน Link ที่ถูกแชร์ ความจริงแล้วอายุ เป็นตัวบ่งบอกพฤติกรรมมากที่สุด รวมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ข่าวปลอมเข้ามามีอิทธิพลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่โซเชียลเน็ตเวิร์คเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตของผู้คน โดยข่าวปลอมเริ่มถูกหยิบมาเป็นประเด็นให้พูดถึงอย่างจริงจัง ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดในปี 2016 ซึ่ง Donald Trump สร้างความประหลาดใจด้วยการรับชัยชนะเหนือ Hillary Clinton
ในช่วงต้นปี 2016 บริษัทวิจัย YouGov ได้รวบรวมกลุ่มตัวอย่าง 3,500 คน ซึ่งมีทั้งคนที่ใช้ Facebook และไม่ได้ใช้ โดยหลังจากวันที่ 16 พฤศจิกายน YouGov ได้ขอให้กลุ่มตัวอย่างติดตั้งแอพพลิเคชั่นติดตามพฤติกรรมการใช้งาน Facebook แล้วพบว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างยินดีติดตั้งแอพดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบพฤติกรรมการแชร์ของผู้ใช้งาน Facebook
ผลวิจัยพบว่ามีเพียง 8.5% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ที่มีการแชร์ข่าวปลอมจากเว็บไซต์ต่างๆ และกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้อนุรักษ์นิยมมีแนวโน้มแชร์ข่าวปลอมมากกว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นเสรีนิยม มี 18% ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็น Republican แชร์ข่าวปลอม ขณะที่ 4% เป็น Democrat ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าในปี 2016 ข่าวปลอมมีส่วนช่วยส่งเสริม Donald Trump ให้ได้รับคะแนนเสียง
นอกจากนี้ ผลจากการวิจัยยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีการแชร์ข่าวปลอมถึง 11% ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุระหว่าง 18 – 29 ปี มีการแชร์ข่าวปลอมเพียง 3% และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ยังมีการแชร์ข่าวปลอมมากกว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุระหว่าง 45 – 65 ปี ถึงสองเท่า
ผลจากการศึกษาไม่ได้ให้ข้อสรุปว่า ทำไมกลุ่มผู้สูงอายุถึงมีการแชร์ข่าวปลอมมากกว่าคนที่มีอายุน้อยกว่า แต่นักวิจัยคาดว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้สูงอายุขาดทักษะ Digital Literacy หรือ การรับรู้เกี่ยวกับเรื่องดิจิตอล จึงขาดความเข้าใจและประสบการณ์ในโลกไซเบอร์ และอีกประเด็นหนึ่ง กลุ่มผู้สูงอายุ มักจะถูกชักจูงได้ง่าย
ที่มา – The Verge
http://www.flashfly.net/wp/?p=239022