ย้อนกลับไปในวันที่ 24 เมษายน 2015 เป็นวันแรกที่ Apple เริ่มวางจำหน่าย Apple Watch อย่างทางการ แต่ทำตลาดเฉพาะ 9 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในเวลาต่อมา รวมถึงประเทศไทย
Apple Watch รุ่นแรก เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2015 โดยมีให้เลือก 3 รุ่น เหมือนกับที่วางจำหน่ายในประเทศอื่นๆ คือ Apple Watch Sport ตัวเรือนอะลูมิเนียมพร้อมสาย Sport Band ราคาเริ่มต้น 13,500 บาท, Apple Watch ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ราคาเริ่มต้น 20,500 บาท และ Apple Watch Edition ตัวเรือนทองคำ 18 กะรัต ราคาเริ่มต้น 395,000 บาท โดยแต่ละรุ่นผลิตออกมาให้เลือก 2 ขนาด คือ 38 มม. และ 42 มม.
ความจริงแล้ว Apple Watch รุ่นแรก ได้รับการเปิเตัวสู่สาธารณะ ในวันที่ 9 กันยายน 2014 โดยก่อนหน้านั้น คาดกันว่า Apple จะใช้ชื่อ iWatch ให้สอดคล้องกับ iPhone และ iPad แต่ท้ายที่สุดก็เลือกชื่อ Apple Watch
1 ปีต่อมา นับจากวันแรกที่เปิดตัวทางการ Apple ได้เปิดตัว Apple Watch Hermès ในวันที่ 9 กันยายน 2015 โดยยังใช้คุณสมบัติของ Apple Watch รุ่นแรก โดยมากับตัวเรือนสแตนเลสสตีล ใช้สายหนังสุดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ Hermès และมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ สายข้อมือแบบพันทบเดียว (Single Tour), แบบพันสองทบ (Double Tour) และแบบกำไลข้อมือ (Manchette) ในวันเดียวกัน Apple ยังได้เปิดตัว Apple Watch สีสันใหม่ทั้งตัวเรือนและสายนาฬิกา พร้อมประกาศปล่อย watchOS 2 ออกมาให้เจ้าของ Apple Watch ได้อัพเดท
Apple Watch รุ่นแรก มีระยะเวลาอยู่ในตลาดราว 17 เดือน ก่อนที่ Apple จะเปิดตัว Apple Watch Series 2 ในเดือนกันยายน 2016 พร้อมกับปรับปรุง Apple Watch รุ่นแรก ด้วยโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ และเรียกว่า Apple Watch Series 1
ปัจจุบัน Apple Watch ได้กลายเป็นผู้นำในตลาด Smartwatch ด้วยส่วนแบ่งในตลาดที่มากถึง 51% ในปีที่ผ่านมา โดยลดลงจาก 67% ที่เคยทำได้ในปี 2017
ที่มา – MacRumors
https://www.flashfly.net/wp/249217