iPhone รุ่นพรีเมี่ยมในปีนี้ มาพร้อมกับคำว่า Pro พ่วงท้าย เพื่อสื่อว่าเป็น iPhone ระดับมืออาชีพ ตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงระบบกล้องใหม่ แต่จะมีคุณสมบัติอะไรที่น่าสนใจบ้าง เว็บไซต์ iPhoneHacks ได้รวบรวมมาให้ 25 อย่าง ที่สามารถพบได้ใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
1. สีสัน
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมสีสันใหม่ สีเขียวมิดไนท์กรีน บนกระจกผิวด้าน และยังมีให้เลือกอีก 3 สี ได้แก่ สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์ และ สีทอง
2. ดีไซน์
ด้านหลังของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ผลิตจากแผ่นกระจกชิ้นเดียว พร้อมด้วยขอบสแตนเลสสตีลขัดเงา และออกแบบมาให้ต้านทานน้ำในระดับ IP68 จึงป้องกันน้ำได้ลึกถึง 4 เมตร นาน 30 นาที และยังทนน้ำที่มักจะหกใส่ในชีวิตประจำวันอย่างกาแฟและน้ำอัดลมได้อีกด้วย
3. ชิปประมวลผล
iPhone 11 series มาพร้อมชิป A13 Bionic ที่มี CPU และ GPU เร็วกว่า A12 ถึง 20% และมี Neural Engine ที่เร็วขึ้นสำหรับวิเคราะห์รูปถ่ายและวิดีโอแบบเรียลไทม์ รวมถึงตัวเร่งความเร็วการเรียนรู้ของระบบที่ทำให้ CPU สามารถดำเนินการต่างๆ ได้ถึง 1 ล้านล้านรายการต่อวินาที
4. จอแสดงผล
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมจอภาพใหม่ Super Retina XDR ใช้แผง OLED ที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ ให้ความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต (การใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 800 นิต) มีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 2,000,000:1 รองรับขอบเขตสีกว้าง รวมถึงการแสดงผลแบบ True Tone สนับสนุน HDR และ HDR10
5. ระบบกล้องหลัก
กล้องหลักของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ได้รับเซ็นเซอร์แบบไวด์ใหม่ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 มี Focus Pixels 100% เร็วกว่าระบบออโต้โฟกัสถึง 3 เท่า เมื่อใช้งานในที่แสงน้อย ขณะที่กล้องเทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล มีทางยาวโฟกัส 52 มม. รูรับแสง f/2.0 กล้องทั้ง 2 ตัว ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล
6. กล้องอัลตร้าไวด์
กล้องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นกล้องมุมกว้างพิเศษ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ทางยาวโฟกัส 13 มม. ให้ มุมมองภาพ 120 องศา เก็บภาพได้กว้างขึ้น 4 เท่า
7. ถ่ายวีดีโอ 4K ด้วยกล้องอัลตร้าไวด์
กล้องอัลตร้าไวด์ ยังสามารถถ่ายวีดีโอได้ในระดับ 4K และสามารถสลับไปถ่ายภาพนิ่งในระหว่างบันทึกวีดีโอได้ง่ายๆ เพียงแตะที่ปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ แล้วเลื่อนไปทางขวา
8. การซูมเสียง
ฟีเจอร์ การซูมเสียง จะปรับเสียงให้สอดคล้องกับระดับการซูมของวิดีโอเพื่อให้ได้เสียงที่มีไดนามิกยิ่งขึ้น เมื่อใช้ฟีเจอร์ซูมเข้าในระหว่างบันทึกวีดีโอ เสียงของวัตถุที่กล้องกำลังมองอยู่ก็จะถูกซูมด้วยเช่นกัน เหมาะสำหรับการถ่ายวีดีโอที่ต้องการเก็บเสียงในสิ่งที่กำลังสนใจเป็นพิเศษ
9. โหมดกลางคืน
iPhone 11 series สนับสนุนการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องใช้แฟลช ด้วยซอฟต์แวร์กล้องของ iPhone รุ่นใหม่ จะช่วยลดจุดรบกวน พร้อมปรับภาพให้สว่าง และให้สีสันอย่างเป็นธรรมชาติ
10. QuickTake
ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ iPhone 11 series สามารถสลับไปถ่ายวีดีโอในโหมดภาพนิ่งได้อย่างราบรื่น เพียงแค่แตะชัตเตอร์ค้างไว้ก็จะเริ่มบันทึกวิดีโอได้ทันที แล้วถ้าอยากถ่ายวิดีโอต่อไปเรื่อยๆ ก็แค่ปัดไปทางขวา หรือปัดไปทางซ้ายเพื่อถ่ายภาพต่อเนื่อง
11. กล้องเซลฟี่ใหม่
iPhone 11 series ได้รับการปรับปรุงระบบกล้อง TrueDepth ด้วยเซ็นเซอร์ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
12. ปรับปรุง Face ID
เมื่อระบบกล้อง TrueDepth ได้รับการปรับปรุง Face ID ก็ได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน โดยทำงานไวขึ้นกว่าเดิม 30% และสนับสนุนการสแกนในมุมที่กว้างขึ้น นั่นหมายถึงไม่จำเป็นต้องถือ iPhone ให้อยู่ในระดับใบหน้าก็สามารถปลดล็อคได้
13. โหมด Slo-mo บนกล้องหน้า
กล้อง TrueDepth ของ iPhone 11 series ยังได้รับฟีเจอร์ใหม่ Slofie สามารถถ่ายวิดีโอเซลฟี่แบบสโลว์โมชั่นที่ 120 เฟรมต่อวินาที
14. ถ่ายวีดีโอ 4K ด้วยกล้องหน้า
กล้อง TrueDepth ของ iPhone 11 series ยังสามารถถ่ายวีดีโอในระดับ 4K ที่ 60, 30, 24 เฟรมต่อวินาที
15. Portrait Mode กับเพื่อน 4 ขา
iPhone 11 series สามารถใช้ Portrait Mode ถ่ายใบหน้าสัตว์เลี้ยงได้แล้ว รวมทั้งวัตถุต่างๆ ด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอย นับตั้งแต่เปิดตัว iPhone 7 Plus
16. ระบบเสียง
iPhone 11 series มาพร้อม Spatial Audio ซึ่ง Apple บอกว่าเป็นระบบเสียงสมจริงรอบทิศทาง ช่วยสร้างประสบการณ์การฟังที่เต็มอิ่มจากทุกทิศทาง และยังรองรับ Dolby Atmos ที่ให้เสียงทรงพลังเต็มอารมณ์
17. Deep Fusion
Deep Fusion เป็นระบบประมวลผลภาพแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย Neural Engine ของ A13 Bionic และจะสามารถใช้งานได้ภายในปีนี้
Deep Fusion จะใช้การเรียนรู้ของระบบที่ล้ำหน้าในการประมวลผลรูปภาพแบบพิกเซลต่อพิกเซล เพื่อปรับรายละเอียด ลวดลาย และจุดรบกวนในทุกส่วนของภาพให้สวยงามลงตัวที่สุด
แหล่งข่าวอธิบายว่า Deep Fusion จะจับภาพ 4 เฟรมหลัก และ 4 เฟรมรอง ก่อนที่จะกดชัตเตอร์ และเมื่อกดชัตเตอร์ลงไปแล้วจะทำการเปิดรับแสงที่ยาวกว่าปกติ เพื่อกล้องเก็ลรายละเอียดได้มากที่สุด หลังจากนั้นซอฟต์แวร์จะนำภาพถ่ายทุกเฟรมมารวมเป็นภาพเดียวในระดับพิกเซลต่อพิกเซล เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่สมบูรณ์แบบที่สุด
18. แบตอึดขึ้น
iPhone 11 series ได้รับการปรับปรุงแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น โดย iPhone 11 Pro ใช้งานได้นานกว่า iPhone XS สูงสุด 4 ชั่วโมง และ iPhone 11 Pro Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone XS Max สูงสุด 5 ชั่วโมง
19. ชิป U1
ชิป U1 ใช้เทคโนโลยีอัลตร้าไวด์แบนด์สำหรับการรับรู้ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟน และเมื่อ iOS 13.1 เปิดให้ใช้งานในวันที่ 30 กันยายนนี้ AirDrop ก็จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถรับรู้ทิศทางการหันเครื่อง และแนะนำเครื่องที่จะแชร์ไฟล์ด้วยได้
20. กระจกที่แข็งแกร่งที่สุด
Apple อ้างว่า iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ใช้วัสดุกระจกแผ่นเดียวที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน ช่วยปกป้อง iPhone เมื่อทำหล่นได้ดีกว่า iPhone ทุกรุ่นก่อนหน้านี้
21. ต้านทานน้ำได้ดีขึ้น
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีการป้องกันอยู่ที่ระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 4 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) กันน้ำได้ดีกว่า iPhone 11 และ iPhone XS ถึง 2 เท่า
22. ปรับปรุงโหมดถ่ายภาพพาโนราม่า
ด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ช่วยให้ iPhone รุ่นใหม่ถ่ายภาพในโหมดพาโนราม่าได้กว้างกว่าที่เคย สามารถเก็บภาพในมุมสูงกว่าเดิม 2 เท่า ขระที่กล้องเทเลโฟโต้ก็รับแสงได้มากขึ้น 40% แฟลชทูโทนให้ความสว่างขึ้น 36% และ iPhone 11 Pro series ยังจับภาพได้อย่างรวดเร็วด้วยความล่าช้าของชัตเตอร์เป็นศูนย์
23. LTE ระดับ Gigabit
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max สนับสนุนเทคโนโลยี LTE ระดับ Gigabit ที่เร็วกว่ารุ่นก่อน สามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุด 1.6Gbps
24. Wi-Fi 6
นอกจาก LTE จะเร็วขึ้น Wi-Fi ก็มาพร้อมมาตรฐานใหม่ 802.11ax หรือ Wi‑Fi 6 มีความเร็วกว่า iPhone XS และ XS Max ที่ใช้มาตรฐาน 802.11ac
25. แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว
นี่คือสิ่งที่หลายคนรอคอย iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็วมาให้ในกล่องแล้ว ชาร์จเร็วสูงสุด 18 วัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 50% ในเวลา 30 นาที
ทั้งนี้ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะเปิดรับจองในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 5:00 น. ตามเวลาแปซิฟิกเป็นต้นไป ก่อนจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน เฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา, เปอร์โตริโก, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ และอีกกว่า 30 ประเทศและภูมิภาค โดย iPhone 11 Pro มีราคาเริ่มต้นที่ 35,900 บาท และ iPhone 11 Pro Max ราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/267207