Apple เปิดตัว iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ในเดือนกันยายน 2019 โดยไม่ได้มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ แต่ยังคงมีชิปประมวลผลที่ทรงพลัง และปรับปรุงระบบกล้องหลัง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด แต่ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา และต่อจากนี้ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ยังคุ้มค่าที่จะควักเงินซื้ออยู่หรือไม่? สามารถพิจารณาได้จากคุณสมบัติใหม่ๆ ที่เริ่มถูกนำมาใช้แล้วในปีนี้
จอแสดงผลที่ให้อัตราการรีเฟรชสูง
สมาร์ทโฟนในปัจจุบันทางฝั่ง Android เริ่มนำจอแสดงผลที่ให้อัตราการรีเฟรช 120Hz มาใช้อย่างกว้างขวางแล้ว ซึ่งช่วยให้การแสดงผลราบรื่นขึ้น ตอบสนองการสัมผัสหน้าจอได้รวดเร็วขึ้น แต่ iPhone ในปีที่แล้ว ยังคงใช้อัตราการรีเฟรช 60Hz เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป
USB-C
iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ยังคงใช้พอร์ต Lightning ซึ่งทำให้ iPhone ขาดการสนับสนุนอุปกรณ์เสริมหลายอย่าง ทั้งนี้ เริ่มนำพอร์ต USB-C มาใช้แล้วกับ iPad Pro และ MacBook จึงเป็นกลยุทธ์ของ Apple ที่ยากจะทำความเข้าใจ
5G
สมาร์ทโฟน Android เริ่มสนับสนุน 5G ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่พบใน iPhone 11 เนื่องจากตลาดที่รองรับ 5G ยังมีไม่มาก แต่ปัจจุบันมีหลายประเทศพร้อมให้บริการ 5G แล้ว โดยมีข่าวว่า iPhone 12 จะรองรับ 5G แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
ระบบซูมแบบออปติคอล
iPhone 11 Pro มีกล้องที่ยอดเยี่ยม แต่กล้องเทเลโฟโต้ได้รับการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย และยังจำกัดการซูมแบบออปติคอลสูงสุด 2 เท่า ขณะที่เรือธงของ Android รองรับการซูมแบบออปติคอลได้มากกว่านั้น อีกทั้งยังมี ระบบซูมแบบไฮบริด และดิจิตอลซูมสูงถึง 60 – 100 เท่า
Reverse Wireless Charging
Reverse Wireless Charging เป็นอีกฟีเจอร์ที่มีเฉฉพาะในเรือธงของ Android ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถชาร์จอุปกรณ์เสริมแบบไร้สายได้ง่ายๆ เพียงวางอุปกรณ์ลงบนด้านหลังของสมาร์ทโฟนที่รองรับ Reverse Wireless Charging ไม่ว่าจะเป็นหูฟังไร้สายแบบ TWS หรือ สมาร์ทวอทช์
ด้วยคุณสมบัติข้างต้นที่ยังไม่พบใน iPhone 11 และต้องรอไปอีก 6 เดือนกว่าจะทราบคำตอบว่า iPhone 12 จะรองรับหรือไม่ จึงเป็นช่วงเวลาที่แต่ละคนต้องพิจารณาด้วยตัวเองว่า ฟีเจอร์ที่ขาดหายไปไหน จำเป็นต้องใช้งานทันที หรือควรรอดูไปอีก 6 เดือน
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/290066