Apple ยังนำดีไซน์ iPhone 8 มาใช้กับ iPhone SE รุ่นใหม่ล่าสุด แต่ความจริงแล้วเป็นดีไซน์ที่ Apple เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2014 กับ iPhone 6 ซึ่งเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีขนาดจอแสดงผล 4.7 นิ้ว และเป็น iPhone ที่ขายดีมากที่สุดของ Apple และวันนี้อาจถึงเวลาแล้วที่เจ้าของ iPhone 6 ต้องอัพเกรดมาใช้รุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยหลายเหตุผลเหล่านี้…
การออกแบบ
iPhone SE รุ่นที่ 2 มีดีไซน์โดยรวมเหมือนกับ iPhone 8 และยังดูคล้ายกับ iPhone 6 ด้วยขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว มาพร้อมปุ่มโฮมที่มี Touch ID แต่ iPhone SE 2020 ไม่มีเส้นเสาอากาศ และด้านหลังเป็นกระจก
iPhone 6 ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กันน้ำ แต่ iPhone SE รุ่นใหม่ สามารถทนน้ำถึงระดับความลึก 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
ในด้านการออกแบบ เจ้าของ iPhone 6 ที่อัพเกรดมาใช้ iPhone SE รุ่นที่ 2 จะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก จากขนาดหน้าจอเท่าเดิม ขนาดบอดี้ที่แทบไม่ต่างกัน และยังใช้วิธียืนยันตัวตนด้วย Touch ID ที่คุ้นเคย แต่จะได้รับ iPhone ที่มีดีไซน์ทันสมัยขึ้น และยังกันน้ำได้
ประสิทธิภาพ
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง iPhone 6 กับ iPhone SE รุ่นที่ 2 คือ ชิปประมวลผล เนื่องจาก 2 รุ่นนี้ มีอายุห่างกันถึง 6 ปี ทำให้ชิปประมวลผล A8 ของ iPhone 6 เทียบไม่ได้เลยกับชิป A13 Bionic ของ iPhone SE เวอร์ชั่น 2020 เนื่องจากเป็นชิปที่ดีที่สุดของ Apple และเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro
ชิป A13 Bionic ให้ประสิทธิภาพของ CPU เร็วขึ้น 4 เท่า เพื่อรองรับการโหลดแอพ ท่องเว็บ ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ และ GPU ดีขึ้น 10 เท่า ตองสนองการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี โดยเกมในบริการ Apple Arcade
นอกจากประสิทธิภาพในการใช้งานจะเพิ่มขึ้นแล้ว ชิปรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ยังปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ด้วย ซึ่งแบตเตอรี่ของ iPhone SE รุ่นที่ 2 ให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า iPhone 6 ถึง 10 ชั่วโมง อีกทั้ง iPhone SE ใหม่ ยังสนับสนุนการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย และยังชาร์จเร็ว 18W เมื่อใช้ USB-C Power Adapter (ขายแยกต่างหาก)
กล้อง
iPhone SE รุ่นที่ 2 มีระบบกล้องเหมือนกับ iPhone 8 ซึ่งแน่นอนว่ามีคุณภาพดีกว่า iPhone 6 แต่ด้วยชิป A13 Bionic ก็ทำให้กล้องของ iPhone SE รุ่นใหม่ มีฟีเจอร์บางอย่างที่เหนือกว่า iPhone 8 อย่างเช่น รองรับโหมดภาพถ่ายบุคคล, การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล, ฟีเจอร์ QuickTake สำหรับถ่ายวีดีโอทันที และกล้องหน้าก็รองรับโหมดภาพถ่ายบุคคลเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นฟีเจอร์ที่ไม่พบใน iPhone 6 รวมถึง iPhone 8
คุณสมบัติกล้องหลังของ iPhone SE รุ่นที่ 2
- กล้องไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- รูรับแสงขนาด f/1.8
- ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า
- โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้ที่สมจริงและการควบคุมระยะชัดลึก
- การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ (แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ, แสงไฟขาวดำไฮคีย์)
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล
- ชุดเลนส์ 6 ชิ้น
- แฟลช True Tone แบบ LED พร้อมคุณสมบัติสโลว์ซิงค์
- พาโนรามา (สูงสุด 63 ล้านพิกเซล)
- ผลึกแซฟไฟร์ป้องกันหน้าเลนส์
- ออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels
- บันทึกภาพถ่ายและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง
- HDR อัจฉริยะเจเนอเรชั่นถัดไปสำหรับภาพถ่าย
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
- โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง
- แนบข้อมูลพิกัดตำแหน่งในภาพถ่าย
- รูปแบบไฟล์ภาพที่บันทึก: HEIF และ JPEG
การบันทึกวิดีโอ (กล้องหลัง)
- บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 30 fps หรือ 60 fps
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 720p ที่ 30 fps
- ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 fps
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลสำหรับวิดีโอ
- ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 3 เท่า
- แฟลช True Tone แบบ LED
- วิดีโอ QuickTake
- รองรับวิดีโอสโลว์โมชั่น ความละเอียด 1080p ที่ 120 fps หรือ 240 fps
- วิดีโอไทม์แลปส์พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
- ระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (4K, 1080p และ 720p)
- วิดีโอออโต้โฟกัสแบบต่อเนื่อง
- ถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 8MP ขณะบันทึกวิดีโอระดับ 4K
- ซูมขณะเล่น
- รูปแบบไฟล์วิดีโอที่บันทึก: HEVC และ H.264
- บันทึกเสียงสเตอริโอ
คุณสมบัติกล้องหน้าของ iPhone SE รุ่นที่ 2
- กล้องความละเอียด 7MP
- รูรับแสงขนาด f/2.2
- โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้ที่สมจริงและการควบคุมระยะชัดลึก
- การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ (แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ, แสงไฟขาวดำไฮคีย์)
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 30 fps
- Retina Flash
- วิดีโอ QuickTake
- บันทึกภาพถ่ายและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง
- HDR อัตโนมัติสำหรับภาพถ่าย
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
- โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง
- ระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
ระบบปฏิบัติการ
ถ้ายังลังเลว่าควรจะอัพเกรดจาก iPhone 6 เป็น iPhone SE รุ่นที่ 2 ดีหรือไม่? ยังมีอีกเหตุผลสำคัญที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ ซอฟต์แวร์หรือระบบปฏิบัติการ ซึ่งชัดเจนว่า iPhone 6 ไม่ได้รับการอัพเดทมาใช้ iOS 13 ทำให้ iPhone 6 ขนาดฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย อย่างเช่น Dark Mode, บริการ Apple Arcade
การอัพเกรดมาใช้ iPhone SE รุ่นที่ 2 นอกจากจะรองรับ iOS 13 ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าจะสนับสนุน iOS 14 และเวอร์ชั่นถัดไปที่ Apple จะปล่อยออกมาอีกอย่างน้อย 4 ปี ข้างหน้า เนื่องจาก iPhone SE รุ่นที่ 2 ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ในปัจจุบันนี้
สรุป
สำหรับเจ้าของ iPhone 6 ที่กำลังตัดสินใจอัพเกรดมาซื้อ iPhone SE รุ่นที่ 2 แทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะปฏิเสธ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple เนื่องจากเป็น iPhone ที่มีราคาไม่แพง ยังมาพร้อมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ล่าสุด ขณะเดียวกัน เจ้าของ iPhone 6 ก็ยังคงได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ใกล้เคียง iPhone เครื่องเก่า ด้วยขนาดหน้าจอเท่าเดิม และยังใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบ Touch ID
เมื่อเปลี่ยนมาใช้ iPhone SE รุ่นที่ 2 เจ้าของ iPhone 6 จะได้รับ iPhone ที่กันน้ำได้ คุณภาพกล้องถ่ายรูปสูงขึ้น ประสิทธิภาพแรงกว่าเดิม และแบตเตอรี่ให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
Apple จะเริ่มเปิดรับจอง iPhone SE รุ่นที่ 2 ในวันที่ 17 เมษายนนี้ (เฉพาะประเทศในกลุ่มแรก) และจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2020 เป็นต้นไป ในราคา 14,900 บาท สำหรับรุ่น 64GB, ราคา 16,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB และ ราคา 20,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ และ สีแดง (PRODUCT)RED
ที่มา – 9to5Mac
https://www.flashfly.net/wp/295600