คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) จัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไขมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้ทันมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น บอร์ดอีวี จึงได้ออกมาตรการระยะยาวประมาณ 4 – 5 ปี เพื่อนำเสนอรัฐบาลให้มีการปรับลดหย่อนภาษี พร้อมให้เงินอุดหนุนภายใต้กรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าให้คนไทยซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประมาณ 300,000 คัน ในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
สำหรับมาตรการจูงใจให้คนไทยเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น จะถูกนำเสนอ ครม. ด้วย 2 แพ็กเกจ ได้แก่ กลุ่มราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท และ กลุ่มราคามากกว่า 2 ล้านบาท
กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีศุลกากร 40% ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลคันละ 150,000 บาท ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ราคาประมาณคันละ 2 ล้านบาท จะได้ลดราคาจากอัตราอากรขาเข้าหรือลดภาษีศุลกากร จากเดิมต้องเสียภาษี 20% ลดลงเหลือ 0% เท่ากับราคาลดลง 350,000 บาท ได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% คิดเป็นส่วนลดอีก 120,000 บาท บวกกับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีก 150,000 บาท รวมส่วนลดทั้ง 3 รายการแล้ว ผู้ซื้อจะซื้อรถไฟฟ้าจากญี่ปุ่นได้ในราคาถูกลงกว่า 570,000 บาท อย่างไรก็ตาม เพื่อดึงดูดผู้บริโภคส่วนนี้ ผู้ประกอบการแต่ละค่ายรถสามารถนำไปจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพิ่มเติมได้
กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคามากกว่า 2 ล้านบาท ไม่ได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล แต่จะได้รับการลดอัตราภาษีศุลกากร 40% และลดอัตราภาษีสรรพสามิตอีก 2% เนื่องจากส่วนใหญ่รถระดับราคามากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าราคาจะกระโดดสูงถึงคันละ 5-6 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากรวมการลดอากรขาเข้า และลดภาษีสรรพสามิตแล้ว ผู้ซื้อจะได้รับการลดราคาคันละไม่ต่ำกว่า 7-8 แสนบาทอย่างแน่นอน
ที่มา – Prachachat