นอกเหนือจาก Apple Watch Series 8 ที่ออกมาสานต่อ Apple Watch รุ่นก่อนๆ Apple ยังได้เปิดตัว Apple Watch Ultra ที่มีความทนทานและขนาดใหญ่กว่า รวมถึงราคาก็สูงกว่าเช่นกัน แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ ในบทความนี้จะมีคำตอบให้อย่างแน่นอน เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อได้อย่างง่ายขึ้น
สีสันและวัสดุ
ตัวเรือนของ Apple Watch Series 8 มี 2 ตัวเลือก ได้แก่ ตัวเรือนอะลูมิเนียม มาในสีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีเงิน และ รุ่น (PRODUCT)RED ขณะที่ตัวเรือนสแตนเลสสตีลมาในสีเงิน, สีกราไฟต์ และ สีทอง สำหรับ Apple Watch Ultra ทำมาจากไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ และใช้สีตามธรรมชาติ ไม่มีตัวเลือกสีเข้มแบบรุ่นก่อนหน้า
Apple Watch Series 8 ตัวเรือนอะลูมิเนียมมาพร้อมกระจกหน้า Ion‑X แต่ตัวเรือนสแตนเลสสตีลใช้ด้านหน้าแบบผลึกแซฟไฟร์ เช่นเดียวกับ Apple Watch Ultra โดยรุ่น Ultra ใช้ผลึกแซฟไฟร์ที่แบนเรียบจากการกระแทกที่ขอบเพื่อปกป้องจอภาพให้ดีขึ้น
ขนาดและน้ำหนัก
Apple Watch Ultra มีขนาดใหญ่และหนักกว่า Apple Watch Series 8 อย่างชัดเจน โดยมีมิติตัวเรือนแตกต่างกันดังนี้
Apple Watch Series 8
- ตัวเรือน 45 มม. มีขนาด 45 x 38 x 10.7 มม. น้ำหนัก 38.8 กรัม (อะลูมิเนียม) หรือ 51.5 กรัม (สแตนเลสสตีล)
- ตัวเรือน 41 มม. มีขนาด 41 x 35 x 10.7 มม. น้ำหนัก 32.0 กรัม (อะลูมิเนียม) หรือ 42.3 กรัม (สแตนเลสสตีล)
Apple Watch Ultra
- ตัวเรือน 49 มม. มีขนาด 49 x 44 x 14.4 มม. น้ำหนัก 61.3 กรัม
จอแสดงผล
Apple Watch Series 8 และ Apple Watch Ultra ใช้จอแสดงผล Retina LTPO OLED แบบ Always-On Display เหมือนกัน แต่จอแสดงผลของ Apple Watch Ultra มีความสว่างสูงถึง 2,000 นิต ขณะที่ Apple Watch Series 8 ให้ความสว่างสูงสุด 1,000 นิต
ด้วยขนาดตัวเรือนที่ใหญ่กว่า ทำให้ Apple Watch Ultra มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย โดยมีพื้นที่แสดงผล 1,164 ตร.มม. ความละเอียด 410 x 502 พิกเซล ขณะที่ Apple Watch Series 8 รุ่น 45 มม. มีพื้นที่แสดงผล 1,143 ตร.มม. ความละเอียด 396 x 484 พิกเซล และรุ่น 41 มม. มีพื้นที่แสดงผล 904 ตร.มม. ความละเอียด 352 x 430 พิกเซล
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
Apple Watch Ultra ใช้งานได้นานถึง 36 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สำหรับการใช้งานปกติ แต่ในรุ่น 4G LTE จะให้อายุการใช้งานนาน 18 ชั่วโมง พอๆ กับ Apple Watch Series 8
ทั้งคู่ยังมีโหมดประหยัดพลังงาน สามารถยืดอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 60 ชั่วโมง Apple Watch Ultra และนานสูงสุด 36 ชั่วโมง สำหรับ Apple Watch Series 8
ประสิทธิภาพและฟีเจอร์ใหม่ๆ
Apple Watch Ultra สร้างขึ้นมาสำหรับนักผจญภัย นักกีฬาเอ็กซ์ตรีม และ ผู้ที่ชื่นชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง จึงมีความสามารถพิเศษหลายอย่างที่หาไม่ได้ใน Apple Watch Series 8
- Apple Watch Ultra มีเสียงไซเรนไว้ขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดฉุกเฉิน ให้เสียงดัง 87 เดซิเบล ได้ยินจากระยะไกลถึง 180 เมตร
- รองรับการเชื่อมต่อ Cellular เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่อแบบสากล ในรุ่น GPS + Cellular แต่ Apple Watch Series 8 ก็สามารถโทรออก ส่งข้อความ สตรีมเพลง หรือโทรฉุกเฉิน โดยไม่ต้องมี iPhone ได้เช่นกัน
- มีปุ่ม Action ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน
- ใช้ GPS แบบความถี่คู่ L1 & L5 จึงระบุพิกัดได้อย่างแม่นยำ สามารถพาตัวเองออกจากป่ากว้างได้
- มีตัววัดความลึก เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำ พร้อมสำหรับการดำน้ำถึง 40 เมตร
- Apple Watch Ultra ทนน้ำที่ระดับ 100 เมตร (Apple Watch Series 8 ทนน้ำที่ระดับ 50 เมตร)
- ลำโพงคู่ เสียงดังกว่า Apple Watch Series 8 ถึง 40% และชุดไมโครโฟน 3 ตัว พร้อมบีมฟอร์มมิ่ง ช่วยลดเสียงรบกวนจากลม
- รองรับมาตรฐาน Bluetooth 5.3
สรุป
Apple Watch Ultra เป็น Apple Watch ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ Apple เคยมี แต่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการผจญภัย ดำน้ำ เดินป่า ปีนเขา รวมไปถึงนักกีฬาเอ็กซ์ตรีม รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม Apple Watch Series 8 ก็มีทุกอย่างสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสวมใส่เพื่อติดตามสุขภาพ การออกกำลังกาย อีกทั้งยังเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า
Apple Watch Ultra วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 31,900 บาท ขณะที่ Apple Watch Series 8 มีราคาเริ่มต้น 15,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 19,900 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular
ที่มา – iDownloadBlog