Xiaomi สานต่อความสำเร็จที่ Xiaomi 14 Series ทำไว้ในปีที่แล้ว ด้วย Xiaomi 15 Series ซึ่งได้รับการเปิดตัวในระดับโลกครั้งแรกที่งาน Mobile World Congress 2025 และพร้อมทำตลาดในประเทศไทยทันที โดยทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิวพร้อมกันทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Xiaomi 15 Ultra และ Xiaomi 15 ทั้งคู่ยังคงรักษาจุดเด่นด้านการถ่ายภาพ ได้รับเลนส์กล้องจาก Leica เสริมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะ Xiaomi HyperAI และ Xiaomi HyperConnect อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพสูงแบบที่สมาร์ตโฟนระดับเรือธงควรมี มาพบกับความเหนือระดับของการถ่ายภาพครั้งใหม่กันได้เลย
แกะกล่อง Xiaomi 15 Series
ทีมงาน @flashfly ได้รับ Xiaomi 15 Ultra มารีวิวพร้อม Xiaomi 15 โดยรุ่น Ultra จัดส่งมาในกล่องสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่า ขณะที่ Xiaomi 15 ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่า หน้ากล่องของทั้งคู่ระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยโลโก้แบรนด์กล้อง Leica ใต้ชื่อรุ่น แสดงถึงความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2022
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบกับซองเอกสารสีเดียวกับตัวกล่อง ภายในจะพบกับเข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด, คู่มือ, ใบรับประกัน, สายชาร์จ และ แถมเคสมาให้ด้วย โดย Xiaomi 15 Ultra ได้รับเคสใส ส่วน Xiaomi 15 แถมเคสซิลิโคนสีดำ
ถัดลงมาจะพบกับสมาร์ตโฟน Xiaomi 15 Series ที่ได้รับการห่อหุ้มไว้อย่างดี และระบุจุดเด่นไว้ด้านหน้าซอง โดยทั้ง 2 รุ่นไม่ได้แถมหัวชาร์จมาให้ด้วย
Xiaomi 15 Ultra
Xiaomi 15 Ultra ชูจุดเด่นที่ระบบกล้องหลัง 4 ตัว พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux โดยมีกล้อง Telephoto มาให้ 2 ตัว ความละเอียดแตกต่างกัน 50 และ 200 ล้านพิกเซล ดีไซน์พรีเมียมด้วยหน้าจอแบบ All Around Liquid Display ขอบมุมโค้งรอบด้านอย่างสมมาตร ด้านหลังได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องคลาสสิค ประสิทธิภาพระดับเรือธงจากขุมพลัง Snapdragon 8 Elite และได้รับแบตเตอรี่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน
สเปก Xiaomi 15 Ultra
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.73 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 3,200 นิต
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor)
- ระบบกล้องหลัง 4 ตัว จาก Leica พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux
- กล้องหลัก 50MP ใช้เซ็นเซอร์ LYTIA LYT-900
- กล้อง 50MP Floating Telephoto ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX858
- กล้อง 200MP Periscope Telephoto ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL HP9
- กล้อง 50MP Ultra Wide ใช้เซ็นเซอร์ ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN5
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera ใช้เซ็นเซอร์ OMNIVISION OV32B
- เทคโนโลยีระบายความร้อน Xiaomi 3D Dual-Channel IceLoop System
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Elite
- ความจำ RAM 16GB (LPDDR5X) + ROM 512GB / 1TB (UFS 4.1)
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, USB-C
- ลำโพงสเตอริโอ, ไมโครโฟน 4 ตัว
- รองรับระบบเสียง Dolby Atmos สนับสนุน Hi-Res และ Hi-Res Audio Wireless
- มาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68
- ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS 2 บนพื้นฐาน Android 15
- แบตเตอรี่ 5410mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W HyperCharge
- รองรับชาร์จเร็วแบบไร้สาย 80W Wireless HyperCharge
- ขนาดตัวเครื่อง 161.3 x 75.3 x 9.35 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 226 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Black, White และ Silver Chrome
ดีไซน์จากกล้องคลาสสิค
Xiaomi 15 Ultra ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากกล้องคลาสสิค เห็นได้ชัดเจนจากมุมมองด้านหลัง โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Black, White และ Silver Chrome ทุกสีมีดีไซน์แบบเดียวกัน โดดเด่นที่ด้านหน้าแบบ All Around Liquid Display สร้างความโค้งที่สมมาตรกันในทุกด้าน และได้รับการป้องกันด้วยกระจก Xiaomi Shield Glass 2.0 กรอบตัวเครื่องใช้วัสดุอะลูมิเนียม อีกทั้งยังต้านทานน้ำ-ฝุ่นในระดับ IP68 (ผ่านการทดสอบแช่ในน้ำจืดที่ความลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานสุดถึง 30 นาที)
ด้านหลังสะดุดตากับกรอบวงแหวนกล้องขนาดใหญ่ ตัดด้วยขอบสีแดงสวยงาม ภายในประกอบด้วยกล้อง 4 ตัว จาก Leica ได้แก่ กล้องหลัก 50MP + กล้อง 50MP Floating Telephoto + กล้อง 200MP Periscope Telephoto + กล้อง 50MP Ultra Wide
ด้านหน้ามาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.73 นิ้ว ใช้ดีไซน์ All Around Liquid Display ที่มีขอบมุมโค้งรอบด้าน โดยมีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ไว้ใต้จอ และซ่อนกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล ไว้ในหลุมบนหน้าจอ
ขอบด้านข้างมีความบาง 9.35 มิลลิเมตร สำหรับสีดำ ที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว ขณะที่สี Silver Chrome จะมีความบาง 9.48 มิลลิเมตร
ขอบตัวเครื่องใช้วัสดุอะลูมิเนียม วางปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์ และมีเส้นเสาอากาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสัญญาณไร้สาย
มุมมองด้านบนมีเพียงเส้นเสาอากาศ
ด้านล่างจะพบกับลำโพงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C, ไมโครโฟน และ ถาดใส่ซิมการ์ด
กล้องหลัง 4 ตัวจาก Leica
ชัดเจนว่าระบบกล้องหลัง 4 ตัว จาก Leica เป็นจุดแข็งที่ทำให้ Xiaomi 15 Ultra ได้เปรียบกว่าคู่แข่งในระดับเรือธงด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล, กล้อง Telephoto แบบ Floating 50 ล้านพิกเซล, กล้อง กล้อง Telephoto แบบ Periscope 200 ล้านพิกเซล และ กล้อง Ultra Wide 50 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัก ใช้เซ็นเซอร์ LYTIA LYT-900 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 23 มม. รูรับแสง f/1.63 ชุดเลนส์ 8P Aspherical ระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Telephoto แบบ Floating ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX858 รูรับแสง f/1.8 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 70 มม. ระบบกันสั่น OIS รองรับโหมด Macro ถ่ายภาพระยะใกล้ 10 ซม.
- กล้อง Telephoto แบบ Periscope ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL HP9 รูรับแสง f/2.6 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 100 มม. ระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultra Wide ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN5 รูรับแสง f/2.2 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 14 มม. ให้มุมมองภาพ 115 องศา
ปกติแล้วช่างภาพมืออาชีพต้องพกพาเลนส์หลายตัว เพื่อบันทึกภาพในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ด้วย Xiaomi 15 Ultra ช่วยให้ช่างภาพพกพาอุปกรณ์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกล้องหลังของ Xiaomi 15 Ultra ครอบคลุมช่วงโฟกัสตั้งแต่ 14 ถึง 200 มม. ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล ภาพวิวทิวทัศน์ และ เทเลโฟโต้ โดยรองรับเทคโนโลยีการซูมแบบไม่สูญเสียคุณภาพ ดังนั้น ผู้ใช้งาน Xiaomi 15 Ultra จึงเหมือนถือกล้อง DSLR อยู่ในมือ
กล้องหลังของ Xiaomi 15 Ultra มาพร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux ที่ได้รับการอัปเกรดมาจากเลนส์ Leica Summicron เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ในการถ่ายภาพบนมือถือ ชุดเลนส์ใหม่ได้รับการพัฒนาร่วมกับ Leica โดยมีการอัปเกรดที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านแสง, เพิ่มประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อย และ ลดความคลาดเคลื่อนทางแสง ทำให้ภาพถ่ายออกมาคมชัด สีสันสมจริง และมีสมดุลแสงขาวที่แม่นยำ
แอปกล้องของ Xiaomi 15 Ultra รองรับโหมดถ่ายภาพ Pro, Video, Photo, Portrait และ Documents เมื่อเลื่อนหน้าจอขึ้นจากด้านล่าง จะพบกับโหมดถ่ายภาพเพิ่มเติม ได้แก่ Ultra HD, Fastshot, Slow motion, Time-lapse, Dual video, Movie, Long exposure, Panorama และ Supermoon
โหมด Photo รองรับการถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว โดยเปิดใช้งาน Motion capture ที่ไอคอนรูปคนวิ่ง ในแถบเครื่องมือด้วยบน ซึ่งในแถบเดียวกัน ยังมีฟีเจอร์ Dynamic shot และ Style จาก Leica ให้เลือกด้วย เมื่อแตะที่ลูกศรชี้ลง จะพบกับฟีเจอร์ HDR, Super macro, Timer, Watermark, ปรับอัตราส่วนภาพ และตั้งค่ากล้องเพิ่มเติม
ขณะที่ไอคอนมุมล่างขวาในโหมด Photo ยังมี Filters จาก Leica ให้เลือกหลายแบบ รวมถึง Beautify ช่วยปรับแต่งความงามบนใหน้า หากต้องการซูมในโหมด Photo รองรับตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3x, 4.3x ,10x ,60x และซูมไกลสุดถึง 120x พร้อม AI ในการปรับแต่งภาพให้คมชัดยิ่งขึ้น
โหมด Portrait มาพร้อม Master Portrait ที่ใช้ช่วงระยะความชัดจากแสงและเงาจริง เพื่อเบลอพื้นหลังให้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ทำให้บุคคลในภาพเด่นชัด มอบสัมผัสที่งดงามมากยิ่งขึ้นในเชิงพื้นที่ การซ้อนทับระหว่างวัตถุและพื้นหลังในภาพจะให้ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดอ่อนและโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น
เมื่อปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังโหมด Portrait จะพบกับระบบ Master-lens ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์โบเก้ที่มีให้ลือก 5 แบบ ได้แก่ Standard, Swirly bokeh, Soft focus, Wide และ Bubbies สำหรับการซูมในโหมด Portrait จะรองรับตั้งแต่ระยะ 1x, 2x, 3x, 4.3x และ 6x
โหมด Pro สำหรับผู้ใช้งานที่มีทักษะด้านการถ่ายภาพ รวมไปถึงช่างภาพมืออาชีพ สามารถปรับการตั้งค่ากล้องได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นค่าชดเชยแสง, ความเร็วชัตเตอร์, สมดุลแสงสีขาว, ความยาวโฟกัส, อุณหภูมิสี, ระบบโฟกัส, การเปิดรับแสง, รูรับแสง และรองรับการถ่ายภาพในรูปแบบ RAW และ Ultra RAW
โหมด Video มาพร้อม Filters มากมายจาก Leica สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3x, 4.3x จนสูงสุด 30x รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 8K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่ 120 เฟรมต่อวินาที รองรับการบันทึกวิดีโอในรูปแบบ Dolby Vision และ 10-bit Log ด้วยความละเอียด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมเสียงคุณภาพสูงระดับสตูดิโอจากไมโครโฟน 4 ตัว และให้ภาพเคลื่อนไหวที่ราบรื่นจากระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล
กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
Xiaomi 15 Ultra ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในหลุมบนหน้าจอ โดยมีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ OMNIVISION OV32B ระยะโฟกัสเทียบเท่า 21 มม. รูรับแสง f/2.0 ให้มุมมองภาพ 90 องศา มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Photo ที่สามารถซูมได้ 2 ระยะ 0.8x และ 1x มีฟีเจอร์ Beautify สำหรับปรับแต่งความงามบนใหน้า รวมถึง Filters เปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ของภาพถ่ายเซลฟี่
โหมด Portrait ของกล้องหน้ามีฟีเจอร์ Beautify และ Filters ให้เลือกใช้เช่นกัน และสามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ แต่ไม่มีเอฟเฟกต์โบเก้ของระบบ Master-lens ที่พบในกล้องหลัง
โหมด Video ของกล้องหน้า รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที สามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ มีฟีเจอร์ Beautify และ Filters เหมือนถ่ายภาพนิ่ง รวมถึงเปิดใช้งาน HDR ได้เช่นกัน
Xiaomi AISP 2.0
นอกจากนี้ Xiaomi 15 Ultra ยังได้รับการอัปเกรด Computational Photography หรือ เทคโนโลยีการถ่ายภาพเชิงคำนวณ Xiaomi AISP 2.0 เพื่อมอบขีดความสามารถด้านการประมวลผลแก่โมเดลการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และสามารถรับมือกับปริมาณงานที่สูงเป็นพิเศษ ซึ่งประกอบด้วย FusionLM 2.0, ColorLM 2.0, ToneLM 2.0 และ PortraitLM 2.0
FusionLM 2.0 การจัดเรียงความสว่างเชิงเส้นเต็มรูปแบบและการผสานภาพ RAW 8 ภาพเป็นข้อมูลดิบขนาดใหญ่สูงสุดถึง 21-bit ทำให้สามารถครอบคุลมช่วงไดนามิกที่สูงกว่า 16EV ได้
ColorLM 2.0 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสีของแต่ละพิกเซลจากข้อมูลดิบแบบ RAW อย่างแม่นยำ แล้วคืนค่าสีของพิกเซลให้ตรงกับที่สายตามนุษย์รับรู้ได้โดยผสานรวมกับช่วงสีที่กว้างพิเศษของระบบกล้อง ภาพที่ได้จากกระบวนการนี้จึงมีความเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น
ToneLM 2.0 ระบบทำการจับคู่โทนสีของข้อมูลความสว่างดั้งเดิมและปรับโทนสีต่างๆ ให้สอดคล้องกันในเชิงเส้นอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ภาพที่ประกอบขึ้นมานี้มีโอกาสเกิดสิ่งแปลกปลอมภายในภาพที่ลดน้อยลง
PortraitLM 2.0 การให้แสงและยกระดับวัตถุในภาพบุคคล ระบบจะสร้างโมเดลและจำลองทางเดินแสงและรูปร่างโบเก้ของชิ้นเลนส์บนพื้นหลังของภาพบุคคลเพื่อเลียนแบบวิธีการทำงานของโปรแกรมรีทัชระดับมืออาชีพขณะทำการตัดต่อภาพหลังถ่าย และให้การสร้างภาพใหม่ที่เป็นระบบแก่การถ่ายภาพบุคคล
ตัวอย่างภาพถ่าย
Xiaomi HyperAI
หลังจากนำเทคโนโลยี Advanced AI มาสู่ Xiaomi 14T Series ในปีที่แล้ว Xiaomi ก็เดินหน้าพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง จนมาถึง Xiaomi HyperAI ที่ผสานเข้ากับ Xiaomi HyperOS 2 ใน Xiaomi 15 Series โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ AI Agent, Productivity AI และ Creativity AI
AI Agent ได้รับการพัฒนาร่วมกับ Google เพื่อปรับแต่ง Gemini ให้รองรับการทำงานข้ามแอปได้อย่างฉลาดและราบรื่น มาพร้อมฟีเจอร์ Image generation, Gemini extension, Screen content understanding (Gemini overlay), Live communication (Gemini live) และ Deep research (เฉพาะสมาชิก Gemini Advanced)
Productivity AI รองรับฟีเจอร์ AI มากมายที่ช่วยให้การใช้งานได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ได้แก่ AI Writing, AI Recorder, AI Interpreter, AI Speech Recognition, AI Subtitles, AI Semantic Search และ Circle to Search
Creativity AI รวบรวมฟีเจอร์ AI ไว้มากมายเช่นกัน แต่มุ่งเน้นไปที่งานสร้างสรรค์ เช่น AI Ease Pro, AI Image Expansion, AI Image Enhancement, AI Remove Reflection, AI Film, AI Live Wallpapers และ AI Cinematic Lock Screen
ชิป Snapdragon 8 Elite เวอร์ชัน 8-core
Xiaomi 15 Ultra ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลระดับเรือธง Qualcomm Snapdragon 8 Elite ซึ่งปัจจุบันมีเวอร์ชัน 7-core เป็นอีกทางเลือก แต่ Xiaomi เลือกใช้เวอร์ชัน 8‑core ที่ประกอบด้วย คอร์ด้านประสิทธิภาพ Prime-core (2‑core) สามารถเข้าถึงความเร็วสูงสุด 4.32GHz และ Performance-core (6‑core) ความเร็วสูงสุด 3.53GHz อีกทั้งยังมีระบบระบายความร้อน Xiaomi 3D Dual-Channel IceLoop ช่วยรักษาประสิทธิภาพในระดับสูง แม้เล่นเกมอย่างหนักหรือใช้งานนานต่อเนื่อง
ด้านความจำ Xiaomi 15 Ultra ได้รับ RAM LPDDR5X สูงสุด 16GB จับคู่กับ ROM UFS 4.1 สูงสุด 1TB ส่วนเครื่องที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว เป็นเวอร์ชัน RAM 16GB จับคู่กับ ROM 512GB นอกจากนี้ ยังสามารถยืมความจำ ROM มาใช้เป็น Virtual RAM ได้อีก 6GB จึงเปรียบเสมือนมี RAM สูงสุด 22GB ทำให้การใช้งานในรูปแบบ Multitasking ลื่นไหลยิ่งขึ้น ผสานพลังของ Game Turbo ทำให้กลายเป็นเครื่องเล่นเกมที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสมาร์ตโฟนอีกรุ่นในเวลานี้
แบต 5410mAh ชาร์จไว 90W HyperCharge
Xiaomi 15 Ultra และ Xiaomi 14 Ultra มีขนาดหน้าจอเท่ากัน แต่ Xiaomi 15 Ultra มีแบตเตอรี่ใหญ่กว่า โดยมีความจุ 5410mAh ขณะที่ Xiaomi 14 Ultra มีความจุ 5000mAh และยังมีชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi Surge จึงมั่นใจได้ว่า Xiaomi 15 Ultra จะรองรับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ตาม Xiaomi 15 Ultra ยังไม่ได้รับการอัปเกรดเทคโนโลยีชาร์จเร็ว โดยรองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W HyperCharge และ ชาร์จเร็วแบบไร้สาย 80W Wireless HyperCharge ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% ได้รวดเร็วทันใจในเวลาไม่กี่นาที
จอแสดงผล WQHD+ AMOLED 6.73 นิ้ว
Xiaomi 15 Ultra มาพร้อมจอแสดงผล WQHD+ AMOLED ความละเอียด 3200 x 1440 พิกเซล ขนาด 6.73 นิ้ว ความหนาแน่นของพิกเซล 522 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 3200 นิต ความลึกของสี 12-bit หรือ 6.8 หมื่นล้านสี รองรับมาตรฐานขอบเขตสี DCI P3 สนับสนุน Dolby Vision และ HDR10+ ให้อัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 1Hz ถึง 120Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate ที่ 300Hz
ไม่เพียงแต่ให้สีสันที่สวยงามคมชัด จอแสดงผลของ Xiaomi 15 Ultra ยังออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องดวงตา สามารถปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ได้ที่ความถี่สูง 1920Hz ผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ในด้านลดแสงสีฟ้าระดับฮาร์ดแวร์ (Low Blue Light), ปราศจากการกระพริบ (Flicker Free) และเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
Xiaomi HyperOS 2
Xiaomi 15 Ultra และ Xiaomi 15 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS 2 ที่มุ่งเน้นประสบการณ์ HyperConnect หรือ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบนิเวศของ Xiaomi ได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต, นาฬิกาอัจฉริยะ, หูฟังไร้สาย ไปจนถึงรถยนต์และระบบบ้านอัจฉริยะ ด้วย Xiaomi HyperOS 2 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุม Xiaomi 15 Series ได้โดยตรงจากแท็บเล็ต เช่น Xiaomi Pad 7 Series ไม่เพียงแต่สะท้อนหน้าจอเท่านั้น แต่ยังสามารถถ่ายโอนไฟล์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายเพียงลากแล้ววาง
Xiaomi HyperOS 2 ยังรองรับ Call sync เมื่อมีสายเรียกเข้ามายังสมาร์ตโฟนขณะที่มีการเชื่อมต่อกับแท็บเล็ต ผู้ใช้งานสามารถเลือกรับสายผ่านแท็บเล็ตได้ทันที นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุดของ Xiaomi ยังสามารถเล่นเสียงจากสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต ไปยังหูฟังไร้สายหรือลำโพงอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการจับคู่ที่ยุ่งยากซับซ้อน
ที่น่าสนใจก็คือ Xiaomi HyperOS 2 ยังได้รับการอัปเกรดให้ทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ดียิ่งขึ้น สามารถเชื่อมต่อกับ Mac และอุปกรณ์ iOS ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Xiaomi Connectivity Service และรองรับการเชื่อมต่อกับ Windows PC ผ่านแอปพลิเคชัน Link to Windows
Xiaomi 15 Ultra Photography Kit Legend Edition
พิเศษสำหรับเจ้าของ Xiaomi 15 Ultra ที่ต้องการรับประสบการณ์การถ่ายภาพแบบกล้องคลาสสิคของ Leica สามารถซื้ออุปกรณ์เสริม Photography Kit Legend Edition มาติดตั้งเพิ่มเติมได้ โดยภายในชุดจะมีเคสที่มีพื้นผิวแบบหนังสีดำแต่งขอบสีแดง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้อง Leica M รุ่นลิมิเต็ด รองรับอะแดปเตอร์ฟิลเตอร์ 67 มิลลิเมตร แถมวงแหวนตกแต่งเลนส์ และสายคล้องมือ
Xiaomi 15 Ultra Photography Kit Legend Edition มาพร้อมกริบที่มีปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 จังหวะ (มีตัวเสริมปุ่มชัตเตอร์แบบถอดได้), ปุ่มปรับแต่งได้ และ แป้นควบคุม (Control Dial) อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ในตัว 2000mAh ช่วยขยายอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ Xiaomi 15 Ultra รองรับการใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีก เปรียบเสมือนมีความจุแบตเตอรี่ 7410mAh (รวมกับแบตเตอรี่ในตัวสมาร์ตโฟน 5410mAh) ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP54 เมื่อใช้งาน Xiaomi 15 Ultra ร่วมกับ Photography Kit Legend Edition จะสามารถเปิดใช้งาน Legend Mode ใน Fastshot ซึ่งจะเป็นการจำลองอินเทอร์เฟซกล้อง Leica Rangefinder อย่างสมจริง
Xiaomi 15
Xiaomi 15 เป็นเรือธงที่ถ่ายภาพได้ดีเช่นกัน เนื่องจากได้รับระบบกล้องหลัง 3 ตัว จาก Leica พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพไม่แพ้ Xiaomi 15 Ultra เพราะใช้ชิปประมวลผลรุ่นเดียวกัน รวมถึงใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันเดียวกัน จึงให้ประสบการณ์การใช้งานไม่ต่างกันมากนัก
สเปก Xiaomi 15
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 3,200 นิต
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor)
- ระบบกล้องหลัง 3 ตัว จาก Leica พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux
- กล้องหลัก 50MP ใช้เซ็นเซอร์ Light Fusion 900
- กล้อง 50MP Floating Telephoto ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN5
- กล้อง 50MP Ultra Wide ใช้เซ็นเซอร์ ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- เทคโนโลยีระบายความร้อน Xiaomi IceLoop System
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Elite
- ความจำ RAM 12GB (LPDDR5X) + ROM 256GB / 512GB (UFS 4.0)
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, NFC, USB-C
- ลำโพงสเตอริโอ, ไมโครโฟน 4 ตัว
- รองรับระบบเสียง Dolby Atmos สนับสนุน Hi-Res และ Hi-Res Audio Wireless
- มาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68
- ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS 2 บนพื้นฐาน Android 15
- แบตเตอรี่ 5240mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W HyperCharge
- รองรับชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W Wireless HyperCharge
- ขนาดตัวเครื่อง 152.3 x 71.2 x 8.08 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 191 กรัม
- มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Black, White, Green และ Liquid Silver
ดีไซน์พรีเมียม
Xiaomi 15 ได้รับการออกแบบมาอย่างพรีเมียมตามแบบฉบับของเรือธง โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกรอบอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรง ด้านหน้าได้รับการป้องกันด้วยกระจก Xiaomi Shield Glass แบบเดียวกับที่ใช้ใน Xiaomi 14 Ultra ตัวเครื่องโดยรวมยังทนน้ำและฝุ่นในระดับ IP68 เช่นเดียวกับ Xiaomi 15 Ultra และผลิตออกมาให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว, สีเขียว และ สีเงิน ซึ่งทีมงาน @flashfly ได้สีเขียวมารีวิว
ดีไซน์ด้านหลังของ Xiaomi 15 แตกต่างจาก Xiaomi 15 Ultra อย่างชัดเจน โดยเฉพาะโมดูลกล้องหลังที่ติดตั้งไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม ขณะที่กล้องหลังของ Xiaomi 15 Ultra วางไว้ในกรอบวงแหวน
Xiaomi 15 ได้รับจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว ให้ความสว่างสูงสุด 3,200 นิต โดยมีพื้นที่ขอบหน้าจอที่บางเฉียบ เพียง 1.38 มิลลิเมตร ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 94% พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ไว้ใต้จอแสดงผล และวางกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล ไว้ในหลุมบนหน้าจอ
ส่วนขอบด้านข้างมีความบางเพียง 8.08 มิลลิเมตร (ยกเว้นสีเงิน จะมีความบาง 8.48 มิลลิเมตร) ติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์
ขอบตัวเครื่อง Xiaomi 15 ใช้วัสดุอะลูมิเนียม และมีเส้นเสาอากาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสัญญาณไร้สาย
มุมมองด้านบนมีเพียงเส้นเสาอากาศ
ด้านล่างประกอบด้วย ลำโพงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C, ไมโครโฟน และ ถาดใส่ซิมการ์ด
กล้องหลัง 3 ตัว จาก Leica
Xiaomi 15 มีจุดเด่นที่ระบบกล้องหลัง 3 ตัว จาก Leica พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilux ประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล, กล้อง Telephoto แบบ Floating 50 ล้านพิกเซล และ กล้อง Ultra Wide 50 ล้านพิกเซล อีกทั้งยังได้รับเทคโนโลยีการถ่ายภาพเชิงคำนวณ Xiaomi AISP 2.0 แบบเดียวกับที่พบใน Xiaomi 15 Ultra
- กล้องหลัก ใช้เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 23 มม. รูรับแสง f/1.62 ชุดเลนส์ 7P ระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Telephoto แบบ Floating ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN5 รูรับแสง f/2.0 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 60 มม. ระบบกันสั่น OIS รองรับโหมด Macro ถ่ายภาพระยะใกล้ 10 ซม.
- กล้อง Ultra Wide ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 รูรับแสง f/2.2 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 14 มม. ให้มุมมองภาพ 115 องศา
แอปกล้องของ Xiaomi 15 รองรับโหมดถ่ายภาพ Pro, Fastshot, Video, Photo, Portrait และ Documents เมื่อเลื่อนไปที่ More แล้วแตะ จะพบกับโหมดถ่ายภาพเพิ่มเติม ได้แก่ Night, 50MP, Panorama, Movie, Slow motion, Dual video, Time-lapse, Long exposure, Supermoon และ Director mode
โหมด Photo สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 2.6x, 5x และขยายได้สูงสุด 60x รองรับการถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว โดยเปิดใช้งาน Motion capture ที่ไอคอนรูปคนวิ่ง ในแถบเครื่องมือด้วยบน ซึ่งในแถบเดียวกัน ยังมีฟีเจอร์ Dynamic shot, HDR และ Style จาก Leica ให้เลือกด้วย เมื่อแตะที่ลูกศรชี้ลง จะพบกับฟีเจอร์ Super macro, Timer, Motion tracking foxus, Tilt-shift, Time burst, Assist cam และ Watermark ขณะที่ไอคอนมุมล่างซ้ายมีไอคอน EV สำหรับปรับค่าชดเชยแสง -4.0 ถึง +4.0 ส่วนไอคอนมุมล่างขวามีฟีเจอร์ Beautify และ Filters
โหมด Portrait ของ Xiaomi 15 มีการเปลี่ยนระยะซูมเป็นระยะโฟกัส 23 มม., 35 มม., 60 มม., 75 มม. พร้อมระบบ Master-lens เอฟเฟกต์โบเก้ที่มีให้ลือก 5 แบบ ได้แก่ Standard, Swirly bokeh, Soft focus, Wide และ Bubbies
โหมด Fastshot รองรับการซูมที่ระยะโฟกัส 23 มม., 28 มม., 35 มม., 50 มม., 85 มม. แถบเครื่องมือด้วยบนมีฟีเจอร์ Motion capture และ Panning car shot
โหมด Video รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 8K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 2.6x, 5x มาพร้อม MasterCinema สำหรับการบันทึกวิดีโอช่วงไดนามิกสูง เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ทั้งในส่วนของไฮไลต์และแสงเงา เพื่อนำเสนอองค์ประกอบเหล่านี้บนจอแสดงผล HDR ด้วยช่วงไดนามิกที่ใกล้เคียงกับที่สายตาของมนุษย์มองเห็น
กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
กล้องหน้าของ Xiaomi 15 ถูกซ่อนไว้ในหลุมบนหน้าจอ และดูเหมือนจะใช้โมดูลกล้องตัวเดียวกับ Xiaomi 15 Ultra โดยมีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัสเทียบเท่า 21 มม. รูรับแสง f/2.0 และให้มุมมองภาพ 90 องศา
โหมดถ่ายภาพ Photo ของกล้องหน้า สามารถซูมได้ 2 ระยะ 0.8x และ 1x มีฟีเจอร์ Beautify สำหรับเพิ่มความงามบนใหน้า (ปรับแต่งความงามแต่ละส่วนไม่ได้ เปิดหรือปิดได้เท่านั้น) และมี Filters เปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ของภาพถ่ายเซลฟี่
โหมด Portrait ของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ HD portrait เน้นความคมชัดมากขึ้น สามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ มีฟีเจอร์ Beautify สำหรับเพิ่มความงามบนใหน้า รวมถึง Filters เปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ของภาพถ่ายเซลฟี่
โหมด Video ของกล้องหน้า รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที สามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ มีฟีเจอร์ Beautify ที่สามารถปรับแต่งความงามได้อย่าวละเอียด
ตัวอย่างภาพถ่าย
ขุมพลังตัวเดียวกับ Xiaomi 15 Ultra
ที่น่าสนใจก็คือ Xiaomi 15 เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่มีประสิทธิสูงไม่แพ้ Xiaomi 15 Ultra เพราะใช้ชิปประมวลผลตัวเดียวกัน Qualcomm Snapdragon 8 Elite เวอร์ชัน 8-core โดยถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการผลิต 3 นาโนเมตร ของ TSMC ให้ประสิทธิภาพ CPU ดีขึ้นสูงสุด 45% ขณะที่ GPU ให้ประสิทธิภาพดีขึ้นสูงสุด 40% มื่อเทียบกับชิป Snapdragon 8 Gen 3 และยังมีระบบระบายความร้อน Xiaomi IceLoop สามารถจัดการความร้อนได้อย่างดี
ด้านความจำ Xiaomi 15 ได้รับ RAM LPDDR5X สูงสุด 12GB สามารถยืมความจำ ROM มาใช้เป็น Virtual RAM ได้อีก 6GB จึงเปรียบเสมือนมี RAM สูงสุด 18GB ส่วนความจำ ROM เป็นแบบ UFS 4.0 มี 2 ตัวเลือก 256GB และ 512GB
ชาร์จไว 90W HyperCharge
แบตเตอรี่ของ Xiaomi 15 ให้อายุการใช้งานยาวนานกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากมีความจุแบตเตอรี่ 5240mAh ขณะที่ Xiaomi 14 มีความจุแบตเตอรี่ 4610mAh และยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W HyperCharge และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W Wireless HyperCharge พร้อมชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi Surge แบบเดียวกับที่พบใน Xiaomi 15 Ultra ช่วยป้องกันและการซ่อมแซมเซลล์แบตเตอรี่อย่างชาญฉลาด จึงสามารถยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น
จอแสดงผล CrystalRes AMOLED
Xiaomi 15 มาพร้อมจอแสดงผล CrystalRes AMOLED ให้สีสัน 6.8 หมื่นล้านสี ความละเอียด 1200 x 2670 พิกเซล ขนาด 6.36 นิ้ว ความหนาแน่นของพิกเซล 460 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) รองรับมาตรฐานขอบเขตสี DCI P3 สนับสนุน Dolby Vision, HDR10+, HDR10 และให้ความสว่างสูงสุด 3200 นิต ทำให้มองเห็นหน้าจอได้อย่างชัดเจน เมื่ออยู่ภายนอกอาคาร อีกทั้งยังได้รับการป้องกันด้วยกระจก Xiaomi Shield Glass
จอแสดงผลของ Xiaomi 15 ให้อัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 1Hz ถึง 120Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate ที่ 300Hz อีกทั้งยังผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ในด้านลดแสงสีฟ้าระดับฮาร์ดแวร์ (Low Blue Light), ปราศจากการกระพริบ (Flicker Free) และเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
สรุปราคาและการจำหน่าย
Xiaomi 15 Series เป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่ถูกสร้างมาเพื่อรองรับการถ่ายภาพอย่างแท้จริง ด้วยระบบกล้องจาก Leica พร้อมเลนส์ออปติก Leica Summilu อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ทรงพลังด้วยชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Elite เวอร์ชัน 8-core นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์สวยงาม ทนทาน และ พรีเมียม อย่างไรก็ตาม Xiaomi 15 Ultra ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ช่างภาพมืออาชีพ ซึ่งมี Photography Kit Legend Edition เป็นอุปกรณ์เสริม ให้ประสบการณ์การใช้งานเหมือนกล้องคลาสสิกของ Leica ขณะที่ Xiaomi 15 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่เน้นการซูม แต่ได้รับประสิทธิภาพระดับเดียวกัน
- Xiaomi 15 Ultra รุ่นความจุ 16GB + 1TB สี Silver Chrome วางจำหน่ายในราคา 46,990 บาท ที่ Xiaomi Store และช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ mi.com, Lazada, Shopee, TikTok Shop พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 4 – 14 มีนาคม 2568 รับฟรี Xiaomi 15 Ultra Photography Kit และบริการอื่นๆ มูลค่ารวม 32,824 บาท20
- Xiaomi 15 Ultra รุ่นความจุ 16GB + 512GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Silver Chrome, Black และ White วางจำหน่ายในราคา 42,990 บาท ที่ Xiaomi Store, ร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ และช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ mi.com, Lazada, Shopee, TikTok Shop พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 4 – 14 มีนาคม 2568 รับฟรี Xiaomi 15 Ultra Photography Kit และบริการอื่นๆ มูลค่ารวม 32,824 บาท20
- Xiaomi 15 รุ่นความจุ 12GB + 512GB มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Green, Black, White และสีพิเศษ Liquid Silver (ซึ่งสี Liquid Silver จะจำหน่ายจำนวนจำกัดเฉพาะบน mi.com เท่านั้น)20 วางจำหน่ายในราคา 29,990 บาท ที่ Xiaomi Store, ร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ และช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ mi.com, Lazada, Shopee, TikTok Shop พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 4 – 14 มีนาคม 2568 รับฟรี Xiaomi Watch S3 และบริการอื่นๆ มูลค่ารวม 27,724 บาท20
- Xiaomi 15 รุ่นความจุ 12GB + 256GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Green, Black, White วางจำหน่ายในราคา 26,990 บาท ที่ Xiaomi Store และ mi.com เท่านั้น พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 4 – 14 มีนาคม 2568 รับฟรี Xiaomi Watch S3 และบริการอื่นๆ มูลค่ารวม 27,724 บาท20
#XiaomiLaunch #Xiaomi15Series
#Xiaomi15Ultra #Xiaomi15