หลังจากเปิดตัว vivo X200 และ vivo X200 Pro ในไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุด vivo X200 Ultra ซึ่งเป็นรุ่นไฮเอนด์ของ vivo X200 Series ก็เดินทางมาอยู่ในมือของทีมงาน @flashfly เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นไปที่ความสามารถด้านการถ่ายภาพเป็นหลัก เนื่องจาก vivo X200 Ultra ถูกสร้างมาให้เป็นกล้องระดับโปรที่มีขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวก ที่พิเศษสุดๆคือมาพร้อมอุปกรณ์เสริม Photography Kit ต่อเลนส์เสริมพิเศษ ได้เหมือนกล้องโปร

สเปกเรือธง

vivo X200 Ultra มาพร้อมจอแสดงผล LTPO AMOLED ความลึกสี 10-bit (1.07 พันล้านสี) ความละเอียด 3168 x 1440 พิกเซล ขนาด 6.82 นิ้ว ให้อัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 1-120Hz ความสว่างสูงสุด 4,500 นิต รองรับ HDR10+ และดูแลดวงตาด้วยเทคโนโลยีการหรี่แสงขั้นสูง 2160Hz PWM Dimming นอกจากนี้ ยังติดตั้งกล้องหน้า 50 ล้านพิกเซล ไว้ในหลุมบนหน้าจอด้วย


ด้านประสิทธิภาพ vivo X200 Ultra ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Elite เวอร์ชัน 8-core ความจำ RAM LPDDR5X Ultra จับคู่กับ ROM UFS 4.1 โดยมีความจุให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ 12GB+256GB / 16GB+512GB / 16GB+1TB แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W และชาร์จไร้สาย 40W
ระบบกล้องหลัง ZEISS Camera

ชัดเจนว่า vivo X200 Ultra ชูจุดเด่นด้านการถ่ายภาพโดยเฉพาะ ดังนั้น กล้องหลังทุกตัวจึงใช้เลนส์คุณภาพสูงจาก ZEISS และได้รับเทคโนโลยีเคลือบเลนส์ ZEISS T* (T Star) ที่ให้ค่าสีที่แม่นยำ เพิ่มสีสันให้สดใส ปรับปรุงการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ลดแสงสะท้อนของเลนส์กล้อง รวมถึงลดเอฟเฟกต์แสงหลอกและแสงแฟลร์
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-818 ขนาด 1/1.28 นิ้ว รูรับแสง f/1.69 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 35 มม. มีระบบกันสั่น OIS
- กล้อง ZEISS APO Telephoto Lens II แบบ Periscope ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP9 ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/2.27 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 85 มม. ซูมออปติคัล 3.7 เท่า มีระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-818 ขนาด 1/1.28 นิ้ว รูรับแสง f/2.0 ระยะโฟกัสเทียบเท่า 14 มม. มีระบบกันสั่น OIS

กล้องหลังทั้ง 3 ตัว สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที หรือ 120 เฟรมต่อวินาที ในโหมด Slow Motion โดยมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวระดับมืออาชีพ CIPA 5.0 ตามมาตรฐานการทดสอบของ CIPA มั่นใจได้ถึงความเสถียร รวมถึงระบบออโต้โฟกัส PDAF

นอกจากโมดูลกล้องที่มีคุณภาพสูง vivo X200 Ultra ยังได้รับชิปประมวลผลภาพ VS1 ซึ่งเป็น AI ISP (โปรเซสเซอร์สัญญาณภาพ) ตัวแรกจาก Vivo ที่มีพลังประมวลผล 80 TOPS และประสิทธิภาพการใช้พลังงานชั้นนำของอุตสาหกรรม (16 TOPS/W) โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการทุกอย่างตั้งแต่การเรนเดอร์โบเก้แบบเรียลไทม์ไปจนถึงการประมวลผล HDR และการซ้อนภาพหลายเฟรมที่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีชิป V3+ ที่รับงานต่อจาก VS1 สำหรับการประมวลผลที่หนักกว่า เช่น การลด Noise เพิ่มความคมชัด และมีส่วนอย่างมาก สำหรับการภาพถ่ายในเวลากลางคืนรวมถึงการถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรต

นอกจากนี้ vivo ยังได้ใส่ปุ่มถ่ายภาพเข้ามาในรุ่นนี้ด้วยสามารถใช้งานแทนชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปได้ทันที รวมถึงยังรองรับระบบสัมผัสสามารถเลื่อนนิ้วบนปุ่มเพื่อซูมเข้าหรือซูมออกได้อย่างรวดเร็ว สามารถเลือกตั้งค่าเป็นระยะเลนส์ หรือตัวชดชเยแสงเพิ่มได้


Photography Kit

ที่น่าสนใจคือ vivo X200 Ultra ยังมาพร้อม Photography Kit ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยยกระดับการถ่ายภาพให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น ประกอบด้วย เคสที่ดีไซน์มาเพื่อเชื่อมต่อกับเลนส์ ZEISS ที่แถมมาพร้อมกัน อีกทั้งยังมี Grip ช่วยให้จับถือระหว่างถ่ายรูปได้ถนัดขึ้น เมื่อติดตั้งเคสกับ Grip เรียบร้อยแล้ว พร้อมสายห้อยคอแบบกล้องโปร ก็ทำให้ vivo X200 Ultra กลายเป็นกล้องถ่ายรูปทันที

Grip ที่มาพร้อมเคส มีแบตเตอรี่ในตัวความจุ 2,300mAh ช่วยขยายอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นในยามฉุกเฉินดีอีกประมาณ 10% สามารถปิดเปิดการชาร์จได้ อีกทั้งยังมีปุ่มควบคุมกล้อง ให้ประสบการณ์การถ่ายภาพแบบกล้องโปร ไม่ว่าจะเป็นปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 จังหวะ, ปุ่มบันทึกวิดีโอ, ปุ่มควบคุมการซูม รวมถึงปุ่มวงล้อสำหรับปรับค่าชดเชยแสง

ในกล่องเลนส์เสริม ยังมีฐานรองสำหรับติดตั้งเลนส์ และแถมขาตั้งเลนส์มาให้ด้วย เนื่องจากตัวเลนส์มีน้ำหนักพอสมควร ดังนั้น ถ้าต้องการซูมในระยะไกล การใช้ขาตั้งเลนส์จะช่วยให้ภาพถ่ายออกมาคมชัดขึ้น นอกจากนี้ ภายในกล่องยังแถมสายคล้องข้อมือ และ สายคล้องเส้นยาวสำหรับสะพายไหล่มาให้ด้วย
สำหรับเลนส์จาก ZEISS ดีไซน์มาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกล้อง Telephoto มีระยะโฟกัสเทียบเท่า 200 มม. เมื่อติดตั้งแล้วช่วยขยายการซูมออปติคัลของกล้อง Telephoto ได้ถึง 8.7 เท่า แต่ด้วยความยาวของเลนส์ทำให้บดบังพื้นที่บางส่วนของหน้าจอถ้าไม่ได้เปิดใช้งาน จึงเหมาะที่จะติดตั้งเมื่อเน้นการถ่ายภาพระยะไกลเท่านั้น

เมื่อติดตั้งตัวเลนส์แล้วให้เข้าไปเปิดใช้งานที่โหมด Telephoto Extender ก่อน ตัวกล้องก็จะเข้าสู่โหมดถ่ายภาพระยะไกลทันทีเริ่มที่ระยะ 200 มม, 400 มม. ,800 มม และไกลสุด 1600 มม. ซึ่งถ้าจะกลับมาถ่ายในระยะปกติ ต้องถอดตัวเลนส์ออกก่อนเท่านั้นเพราะจะบังหน้าจออยู่
ตัวอย่างภาพถ่าย







สรุป
vivo X200 Ultra เป็นสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ที่จัดเต็มทั้งดีไซน์ ประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญด้านการถ่ายภาพเป็นพิเศษ ด้วยระบบกล้องหลัง 3 ตัวจาก ZEISS ที่มีคุณภาพสูงทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ยิ่งจับคู่กับอุปกรณ์เสริม Photography Kit ยิ่งทำให้ vivo X200 Ultra กลายเป็นกล้องระดับมือโปร มอบประสบการณ์การถ่ายภาพเหมือนใช้กล้องของจริง และยังมีเลนส์เสริมพิเศษช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซูมให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เรียกได้ว่า vivo X200 Ultra ถูกสร้างมาเพื่อเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ตอบโจทย์การถ่ายภาพอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังจำกัดการวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น

ทั้งนี้ vivo X200 Ultra ในจีน วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 6,499 หยวน หรือราว 29,490 บาท และยังมีรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่อดาวเทียม ราคา 7,999 หยวน หรือราว 36,190 บาท และรุ่นที่มาพร้อม Photography Kit ราคา 9,699 หยวน หรือราว 43,890 บาท






