นอกจาก iPhone 17 Series ที่กำลังจะได้รับการเปิดตัวในสัปดาห์หน้า ยังมี Apple Watch Ultra 3 ที่เป็นอีกไฮไลท์ เนื่องจากไม่มีการอัปเกรดมานาน 2 ปีแล้ว และคาดว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างน้อย 8 รายการ ตามรายงานต่อไปนี้

จอแสดงผลใหญ่ขึ้น – อ้างอิงจากหลักฐานที่พบใน iOS 26 เวอร์ชัน Beta ชี้ว่า จอแสดงผลของ Apple Watch Ultra 3 มีความละเอียด 422 x 514 พิกเซล สูงกว่า 410 x 502 พิกเซล ของ Apple Watch Ultra 2 ในปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้ Apple Watch Ultra 3 มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ความละเอียดที่มากขึ้น อาจบ่งชี้ว่า Apple อาจลดความกว้างของขอบหน้าจอลงเพื่อขยายพื้นที่การมองเห็น โดยไม่เปลี่ยนแปลงขนาดตัวเรือน หมายความว่า Apple Watch Ultra 3 จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน Apple Watch ช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านและใช้ประโยชน์จากพื้นผิวด้านหน้าที่กว้างขวางของดีไซน์ที่ทนทานได้ดียิ่งขึ้น
โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ – เนื่องจากไม่มีการอัปเกรดรุ่นใหม่มา 2 ปีแล้ว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ Apple Watch Ultra 3 จะเปิดตัวพร้อมชิปใหม่ และคาดว่าจะใช้ชิป S11 ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีพื้นฐานจะเหมือนกับชิป S9 และ S10 แต่ Apple อาจทำการปรับแต่งอื่นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ชิป S10 ที่ได้รับการออกแบบให้บางลง เพื่อให้ใช้พื้นที่ภายในน้อยลง อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอาจยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงชิป S12 ในปีหน้า
อัตราการรีเฟรชที่เร็วขึ้น – เนื่องจากปีที่แล้ว Apple Watch Ultra ไม่ได้รับการอัปเกรด ทำให้จอแสดงผลของ Apple Watch Series 10 ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยจอแสดงผล Retina OLED LPTO3 ที่ช่วยให้รองรับอัตราการรีเฟรชที่เร็วขึ้นในโหมด Always-on ทำให้หน้าปัดนาฬิกาสามารถแสดงเข็มวินาทีที่เดินอย่างต่อเนื่องได้ และเป็นไปได้อย่างมากที่ Apple Watch Ultra รุ่นใหม่ในปีนี้ จะได้รับเทคโนโลยีเดียวกัน
จอภาพ OLED แบบมุมกว้าง – Apple Watch Ultra 3 จะได้รับจอภาพ OLED แบบมุมกว้าง เช่นเดียวกับ Apple Watch Series 10 ซึ่งทำให้แต่ละพิกเซลเปล่งแสงออกมาได้มากขึ้นในมุมมองที่กว้างกว่าเดิม จอแสดงผลจึงสว่างกว่า Apple Watch Series 9 สูงสุด 40% เมื่อมองจากด้านข้าง และอ่านได้ง่ายขึ้นเพียงแค่เหลือบตามอง
รองรับการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม – ผลิตภัณฑ์ของ Apple ในปัจจุบัน มีเฉพาะ iPhone เท่านั้น ที่รองรับการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม แต่มีรายงานว่า Apple Watch Ultra 3 จะสามารถรับส่งข้อความผ่านดาวเทียมได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ขาดการติดต่อ เมื่ออยู่ในพื้นที่ไร้สัญญาณมือถือ หรือ Wi-Fi
ชาร์จเร็วขึ้น – Apple Watch Ultra 2 มีด้านหลังแบบเซรามิกและคริสตัลแซฟไฟร์ แต่สำหรับ Apple Watch Ultra 3 อาจเปลี่ยนไปใช้ด้านหลังโลหะแบบเดียวกับ Apple Watch Series 10 ซึ่งวัสดุโลหะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายมือถือดีขึ้น และชาร์จได้เร็วขึ้นเท่านั้น
นอกจากด้านหลังที่ใช้วัสดุโลหะ Apple Watch Series 10 ยังได้รับการปรับปรุงคอยล์ชาร์จให้ใหญ่ขึ้นและรวมเสาอากาศไว้ในตัว ทำให้สามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลาเพียง 30 นาที ขณะที่ Apple Watch Ultra 2 ใช้เวลา 60 นาที ในการชาร์จถึงระดับ 80%
รองรับ 5G – Apple Watch ในปัจจุบัน ยังรองรับมาตรฐานเครือข่ายมือถือสูงสุด 4G LTE แต่ Apple Watch Ultra รุ่นใหม่ในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะรองรับ 5G และจะเปลี่ยนไปใช้ชิปโมเด็มของ MediaTek แทน Intel ซึ่งรองรับ 5G RedCap มาตรฐาน 5G ใหม่ ที่มุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ รวมถึงอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูง
ตรวจจับความดันโลหิต – คาดว่า Apple จะติดตั้งฟีเจอร์ตรวจวัดความดันโลหิตให้กับ Apple Watch Ultra 3 เป็นรุ่นแรก หลังจากใช้เวลาพัฒนามานานหลายปี
ปกติแล้วการวัดความดันโลหิต จะต้องอ่านค่า Systolic (แรงดันของเลือดขณะที่หัวใจกำลังสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย) และค่า Diastolic (แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว) แต่ฟีเจอร์ตรวจวัดความดันโลหิตวของ Apple Watch จะติดตามว่าความดันโลหิตของผู้ใช้งานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือไม่ และถ้าตรวจพบความดันโลหิตสูง จะส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานทันที ซึ่งเจ้าของ Apple Watch สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยเพิ่มเติมได้
ที่มา – MacRumors






