Eva Dou จากสำนักข่าว The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศจีน เผยค่าย OPPO และ VIVO กำลังมาแรง เราสามารถพบเห็นสื่อโฆษณาทั้ง 2 ค่าย ปรากฏอยู่ทั่วไปทั้งป้ายบิลบอร์ด ป้ายรถเมล์ ทีวี และ โซเชี่ยลมีเดีย แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า OPPO และ VIVO มีบริษัทแม่เดียวกัน คือ BBK Electronics ซึ่งมีฐานอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง โดย OPPO ถูกวางตำแหน่งไว้ในระดับไฮเอนด์ เน้นกล้องถ่ายรูป วัสดุพรีเมี่ยม ส่วน VIVO จะเน้นกลุ่มวัยรุ่น
ส่วนแบ่งการตลาดล่าสุดในไตรมาสที่ผ่านมา OPPO และ VIVO อยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนอันดับ 1 ยังเป็นของ Huawei และ Apple อยู่อันดับ 5 ถัดจาก Xiaomi แต่ถ้าพิจารณาจากทิศทางการเติบโต จะเห็นตัวเลขชัดเจนว่าทั้ง 2 ค่าย มีส่วนแบ่งที่ก้าวกระโดดจากปีที่แล้วในไตรมาสเดียวกัน โดยเฉพาะยอดขายของ OPPO เติบโตขึ้นเท่าตัว
Apple ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศจีน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง และพวกเขามองถึงความคุ้มค่ามากกว่ามูลค่าของแบรนด์
เป้าหมายของ OPPO และ VIVO คือต้องการดึงลูกค้ามาจาก iPhone ด้วยการนำเสนอคุณสมบัติที่คล้ายกันแต่มีราคาประหยัดกว่า ลูกค้าในจีนจ่ายเพียง 3,299 หยวน จะได้เป็นเจ้าของ OPPO R9 Plus รุ่น 128GB ขณะที่ iPhone SE รุ่น 16GB วางจำหน่ายในราคา 3,288 หยวน
OPPO มีกลยุทธ์ในการทำตลาดต่างจากคู่แข่งสัญชาติเดียวกัน โดยเน้นสร้างร้านค้าปลีกของตัวเอง ขณะที่ Huawei เน้นวางจำหน่ายผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Xiaomi เน้นช่องทางออนไลน์
ร้านค้าปลีกของ OPPO และ VIVO จะเป็นในรูปแบบแฟรนไชส์ ทำให้ตัวแทนจำหน่ายมีแรงจูงใจที่จะช่วยขายสมาร์ทโฟนให้พวกเขา โดยเริ่มต้นจากร้านค้าในเมืองเล็กๆ จนปัจจุบันได้ขยายออกไปอยู่ทุกหัวมุมเมือง ส่งผลให้ OPPO และ VIVO เป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับผู้บริโภค จนทำให้คู่แข่งอย่าง Huawei และ Xiaomi เริ่มวางแผนเปิดร้านค้าปลีกของตัวเองเช่นกัน
Xiaomi เคยประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในการวางจำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ จนมีความเชื่อว่าในอนาคตยอดขายของสมาร์ทโฟนกว่า 50% จะมาจากช่องทางออนไลน์ และร้านค้าปลีกแบบเดิมจะสูญพันธุ์ แต่ Lu Luma ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนเทคโนโลยีของ OPPO กล่าวว่า “ลองจินตนาการดูสิ จะมีเฉพาะพนักงานจัดส่งสินค้าเท่านั้นเหรอ ที่จะอยู่ข้างนอกนั่น ขณะที่ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม”
ที่มา – The Wall Street Journal
http://www.flashfly.net/wp/?p=155381