vivo ตอกย้ำความเป็นผู้นำในวงการถ่ายภาพบนสมาร์ตโฟนด้วยเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด vivo X300 Series ที่นำโดย vivo X300 Pro มาพร้อมกล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล ขณะที่ vivo X300 ได้รับกล้องหลัก ZEISS ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ทั้งคู่ขับเคลื่อนด้วยชิป Dimensity 9500 ของ MediaTek จับคู่กับชิปประมวลผลภาพและวิดีโอ vivo V3+ ทำงานบน OriginOS 6 ซึ่งผสาน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ดีไซน์หรูหราและทันสมัย มาพร้อมสโลแกน “แค่คลิกซูมชิดติดเวที”

แกะกล่อง vivo X300 Series

vivo X300 Pro และ vivo X300 จัดส่งมาในกล่องที่มีพื้นผิวลายหนังสีดำแบบคลาสสิค บนฝากล่องระบุชื่อรุ่นขนาดใหญ่ภายในกรอบวงแหวนที่เป็นขอบนูน พร้อมข้อความ Co-engineered with ZEISS เพื่อสื่อถึงการทำงานด้านวิศวกรรมร่วมกับ ZEISS ผู้ผลิตเลนส์ระดับโลกจากเยอรมนี หมายความว่ากล้องของ vivo X300 และ vivo X300 Pro ได้รับเลนส์คุณภาพสูงจาก ZEISS เช่นเดียวกัน
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบกับสมาร์ตโฟน vivo X300 Series ถูกเก็บไว้ในซองอย่างดี โดยมีลิ้นช่วยดึงตัวเครื่องออกจากถาดรองได้อย่างง่ายดาย (vivo X300 และ vivo X300 Pro ติดฟิล์มกันรอยมาให้แล้วจากโรงงาน)


หลังจากหยิบถาดรองสมาร์ตโฟนออกไป จะพบกับกล่องแบนๆ สีดำ แยกไว้เป็นสัดส่วน ประกอบด้วย กล่องสำหรับจัดเก็บสายชาร์จ และหัวชาร์จ (Power Adapter) รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 90W FlashCharge
อีกกล่องมีเอกสารต่างๆ อย่างคู่มือ Quick Start Guide ข้อมูลสำคัญและบัตรรับประกัน แถมเคสซิลิโคนตามสีเครื่องมาให้ 1 อัน พร้อมแนบเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ดมาให้ด้วย
vivo X300 Pro

vivo X300 Pro ชูจุดเด่นที่กล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล ช่วยให้การซูมเป็นเรื่องง่าย ใช้งานลื่นไหลด้วยชิปแยก VS1 ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับชิปเรือธง Dimensity 9500 และชิป V3+ แบตเตอรี่ BlueVolt 6510mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W ชาร์จไร้สาย 40W Wireless Charge จอแสดงผล 6.78 นิ้ว ดีไซน์บางเพียง 7.99 มิลลิเมตร น้ำหนัก 226 กรัม
สเปก vivo X300 Pro

- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 4500nits
- กล้องหลัง 200MP Telephoto + 50MP Main + 50MP Ultra Wide Camera
- กล้องหน้า 50MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9500
- ความจำ RAM 16GB (LPDDR5X Ultra) + ROM 512GB (UFS 4.1)
- ขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 16GB ผ่านฟีเจอร์ Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6, NFC, USB Type-C (USB 3.2)
- ระบุตำแหน่ง GPS (L1;L5), BeiDou (B1C;B1I;B2a;B2b), GLONASS (G1), Galileo (E1;E5a;E5b), QZSS (L1;L5), NavIC (L1;L5)
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Proximity, Ambient Light Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared, Flicker Sensor
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ 3D Ultrasonic Single-Point
- ระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 บนพื้นฐาน Android 16
- มาตรฐานทนน้ำและทนฝุ่น IP68 และ IP69
- แบตเตอรี่ BlueVolt 6510mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W และชาร์จไร้สาย 40W
- ขนาดตัวเครื่อง 161.98 x 75.48 x 7.99 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 226 กรัม
ดีไซน์หรูหรา

ดีไซน์ภายนอกของ vivo X300 และ vivo X300 Pro มีส่วนคล้ายกันอย่างมาก แต่สามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนที่ขนาดตัวเครื่อง เนื่องจาก vivo X300 Pro มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า ทำให้ขนาดตัวเครื่องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย มาพร้อมงานประกอบที่ประณีต ให้สัมผัสที่พรีเมียม โดยกรอบตัวเครื่องใช้วัสดุอลูมิเนียมอัลลอย เช่นเดียวกับปุ่มด้านข้าง มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีทะเลทราย Dune Brown, สีฟ้า Mist Blue และ สีดํา Phantom Black

ด้านหลังของรุ่นโปรมีความโดดเด่นที่ดีไซน์กล้องแบบวงแหวนขนาดใหญ่ พร้อมขอบที่ผ่านการแกะสลักแบบ Sunburst ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาสุดหรู ภายในจัดวางโมดูลกล้องอย่างสมมาตร และติดโลโก้ ZEISS กับ T* (T Star) ไว้ตรงกึ่งกลาง

ฝาหลังของ vivo X300 Series ใช้ดีไซน์แบบ Unibody 3D เทคโนโลยีการขึ้นรูปฝาหลังแบบใหม่ ช่วยให้โมดูลกล้องและฝาหลังเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ชั้นกระจกใช้เทคนิค Coral Velvet Glass เพื่อให้สัมผัสเนียนนุ่มยิ่งขึ้น และป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้อย่างดี

มุมมองด้านหน้า เต็มไปด้วยพื้นที่ของจอแสดงผล AMOLED โดย vivo X300 มาพร้อมจอขนาด 6.31 นิ้ว ที่มีดีไซน์ขอบจอบางเฉียบ 1.05 มิลลิเมตร ขณะที่ vivo X300 Pro มีขนาด 6.78 นิ้ว มีขอบจอบางเพียง 1.1 มิลลิเมตร และบางเท่ากันรอบด้าน ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 94.85%


จอแสดงผลของ vivo X300 Series ได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ 3D Ultrasonic Single-Point ไว้บนจอแสดงผล ช่วยให้สแกนลายนิ้วมือได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และซ่อนกล้องหน้า 50 ล้านพิกเซล ไว้ในรูที่ขอบบนของหน้าจอ ซึ่งสามารถใช้สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกหรือยืนยันตัวตนได้เช่นเดียวกับการสแกนลายนิ้วมือ

ขอบด้านข้างมีความบาง 7.99 มิลลิเมตร มาพร้อมปุ่มทางลัด ซึ่งไม่มีใน vivo X300

อีกข้างวางปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์

ด้านบนของตัวเครื่องพบลำโพงสเตอริโอ เมื่อขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านล่าง

ด้านล่าง ประกอบด้วย ลำโพงตัวหลัก ไมโครโฟนแบบคู่ พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C และถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ 2 ซิมแบบ Nano สนับสนุน 5G ทั้ง 2 ซิม (5G+5G Dual SIM Dual Standby)

ภายใต้ความสวยงามพรีเมียม vivo X300 Series ยังมีความทนทานป้องกันน้ำได้อย่างดี ด้วยมาตรฐาน IP68 และ IP69 หมายความว่า vivo X300 และ vivo X300 Pro สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างเต็มรูปแบบ และต้านทานน้ำได้นาน 30 นาที ที่ความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร รวมถึงต้านทานน้ำที่มีความร้อนสูงได้ หมดกังวลเมื่อพกพาไปใช้งานใกล้แหล่งน้ำ หรือกลางแจ้งในวันที่มีฝนตก
กล้องซูม 200MP ZEISS APO Telephoto Camera

ด้านการถ่ายภาพ vivo X300 Pro มีความโดดเด่นที่กล้อง Telephoto ความละเอียดสูงที่สุดในอุตสาหกรรม 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว และเป็นเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่ใช้เลนส์คุณภาพสูง Fluorite-Grade Glass กล้อง Telephoto ของ vivo X300 Pro ผ่านการรับรอง ZEISS APO ช่วยลดการเกิด Chromatic aberration หรือ ความคลาดสี หมายถึงความผิดปกติทางทัศนศาสตร์ที่เกิดขึ้น เมื่อเลนส์ไม่สามารถรวมแสงสีต่างๆ ให้มาตกที่จุดเดียวกันได้ ส่งผลให้เกิดขอบสี (เช่น สีม่วง สีเขียว หรือ สีแดง) ปรากฏอยู่ตามขอบวัตถุในภาพ ทำให้ภาพดูไม่คมชัด

ด้วยความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล ทำให้กล้อง Telephoto ของ vivo X300 Pro สามารถถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างสวยงามคมชัด แม้ซูมที่ระยะ 10x ถึง 30x ถูกใจสายเดินป่าที่ชอบเก็บภาพความงดงามของธรรมชาติด้วยระบบโฟกัสอัจฉริยะเพิ่มความแม่นยําในการติดตามนกและดอกไม้ เมื่อกล้องจับภาพได้ว่ากําลังถ่ายนก จะปรากฏไอคอน ZEISS Mirotar ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์โบเก้ใหม่ ที่จําลองมาจากเลนส์ ZEISS ในกล้องระดับโปร อีกทั้งยังรองรับการถ่าย Telephoto Macro สำหรับเก็บรายละเอียดระยะใกล้ด้วย

ระบบกล้องหลังของ vivo X300 Pro ได้รับเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบหลายชั้นของ ZEISS ที่เรียกว่า T* (T Star) เพื่อลดการสะท้อนแสงและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านแสง ช่วยให้ค่าสีที่แม่นยำ เพิ่มสีสันให้คมชัด สว่างสดใส ปรับปรุงการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ลดแสงสะท้อนของเลนส์กล้อง รวมถึงลดผลกระทบของแสง Flare และ Ghost

vivo X300 Pro ยังใช้ระบบไฟแฟลชอัจฉริยะ Adaptive Zoom Flash สามารถปรับมุมและความเข้มของแสงตามระยะการถ่ายภาพโดยอัตโนมัติ รองรับระบบไฟเสริมแบบฮาร์ดแวร์ Hardware Fill Light สําหรับเลนส์ทั้งระยะ 24 มม., 50 มม. และ 85 มม.

- กล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/2.67 ทางยาวโฟกัส 85 มม. มีระบบกันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 5.5
- กล้องหลัก ZEISS Gimbal-Grade ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว รูรับแสง f/1.57 ทางยาวโฟกัส 24 มม. มีระบบกันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 5.5
- กล้อง ZEISS Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 รูรับแสง f/2.0 ทางยาวโฟกัส 15 มม. มุมมองกว้าง 119 องศา

แอปกล้องของ vivo X300 Pro รองรับโหมดถ่ายภาพ Snapshot, Landscape & Night, Portrait, Photo, Video, Portrait Video, Pano, Ultra HD Document, Slo-mo, Stage, Time-Lapse, Pro, Food, Spatial Camera, Supermoon, High Resolution และ Telephoto Extender
โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3.5x, 10x และซูมได้สูงสุด 100x มาพร้อมฟิลเตอร์ Basic styles ที่มีตัวเลือกน่าสนใจได้แก่ B&W, Texture, Vivid และ ZEISS ถัดมาจะเป็น Personalized Styles โดยมีโทนสีกล้องฟิล์ม Classic Negative, Positive film และ Clear blue เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากฟิลเตอร์มาตรฐานของ vivo

แถบเครื่องมือด้านบนของ โหมด Photo มีฟีเจอร์ Live Photo (อยู่ถัดจากไอคอนไฟแฟลช) ข้างกันมีไอคอนรูปดอกไม้ คือโหมดถ่ายภาพ Super Macro สำหรับถ่ายภาพใกล้วัตถุ ซูมได้สูงสุด 20x

โหมด Live Photo ได้รับการอัปเกรดด้วย Live Photo with Zoom Effect ช่วยสร้างภาพเคลื่อนไหวพร้อมเอฟเฟกต์ซูมเข้า-ออก ได้ในคลิกเดียว และ Live Photo Dolly Zoom สร้างภาพเคลื่อนไหวแบบซูมดึงระยะให้ฉากดูมีมิติและโดดเด่นยิ่งขึ้น ผู้ใช้งาน vivo X300 Series สามารถแก้ไข Live Photo ได้ง่ายขึ้นกับเครื่องมือ AI Erase ช่วยลบวัตถุหรือบุคคลที่เกินมาในภาพได้ง่ายๆ เพียงวงกลมล้อมรอบวัตถุที่ไม่ต้องการ ระบบจะลบวัตถุนั้นออกจากทุกเฟรมโดยอัตโนมัติ และยังคงบันทึกเป็น Live Photo เหมือนเดิม


สำหรับการถ่ายภาพความละเอียดสูง 50 และ 200 ล้านพิกเซล มาพร้อมฟีเจอร์ AI Multi-Crop ช่วยในการถ่ายภาพทั้งวิวทั้งคนให้ออกมาสวยทุกมุมในช็อตเดียว เพียงเปิดโหมด 50MP หรือ 200MP (ไอคอนด้านบน) จากนั้นแตะที่ไอคอนกรอบด้านขวาล่าง และเลือกเฟรมที่ต้องการ

โหมด Stage (Stage Mode 2.0) เหมาะสำหรับการบันทึกภาพคอนเสิร์ต เทศกาลดนตรี หรือ ละครเวที โดยผสานเทคโนโลยี Telephoto Magic 2.0 และ GTR 3.0 ทำให้ภาพสวยงามคมชัดแม้ซูมจากระยะไกล ภาพพอร์ตเทรตของศิลปินหรือนักแสดงบนเวทีคมชัดเหมือนถ่ายจากขอบเวที

สำหรับใครที่ชอบไปดูคอนเสิร์ต vivo X300 Series ก็มีฟีเจอร์ Concert Dual-View สำหรับบันทึกการแสดงด้วยกล้อง 2 ตัว ในเวลาเดียว ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังกับกล้องหน้า หรือกล้องหลังกับกล้องหลังอีกตัว ทำให้ได้ภาพจาก 2 มุมมองที่ต่างออกไป และยังสามารถเลือกบันทึกภาพจากกล้องทั้ง 2 ตัว ให้รวมเป็นไฟล์เดียวหรือแยกกันก็ได้


vivo X300 Series เอาใจสายท่องเที่ยวที่ชอบเก็บภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ ด้วย AI Landscape Master ซึ่งขับเคลื่อนด้วย AIGC ช่วยเปลี่ยนภาพถ่ายในวันที่อากาศไม่เอื้ออำนวยให้สวยด้วยฟิลเตอร์สภาพอากาศ (Weather Filters) รองรับสไตล์ภาพที่หลากหลาย รองรับทั้งโหมด Portrait และ Landscape





โหมด Portrait ได้รับการอัปเกรดให้ถ่ายภาพพอร์ตเทรตระดับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นระยะ 24 มม., 35 มม., 50 มม., 85 มม., 135 มม., ทำให้ได้มุมมองภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่แตกต่างไปจากเดิม และยังเพิ่มความโดดเด่นได้มากขึ้นกับเอฟเฟกต์ละลายฉากหลัง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเลนส์อันเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS เช่น Biotar, B-speed, Sonnar, Planar, Distagon, Cine-flare และ Cinematic อีกทั้งยังมี Portrait effect ที่ช่วยให้ถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่ากล้องให้ยุ่งยาก เนื่องจากมีการปรับแต่งมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Natural portrait, Radiant portrait, Landscape portrait, Street portrait, Standard portrait, Black & white portrait, Figure และ Close-up

โหมด Portrait ของ vivo X300 Pro ยังทำงานร่วมกับแฟลชคู่แบบ Diffuser (24 มม.) และ Converger (85 มม.) ช่วยปรับแสงอัตโนมัติให้เหมาะกับทุกระยะเลนส์ และมีเทคโนโลยี Light Spot Fusion ช่วยให้แสงครอบคลุม และสมดุลยิ่งขึ้น เปิดใช้งานได้ที่ไอคอนไฟแฟลช (แถบเครื่องมือด้านบน) แตะที่ Flash Portrait on จากนั้นกดถ่ายภาพ ไฟแฟลชจะส่องไฟให้อัตโนมัติตามระยะห่างจากตัวแบบ

โหมด Video สามารถบันทึกวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 8K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่ 120 เฟรมต่อวินาที รองรับการบันทึกวิดีโอในรูปแบบ Dolby Vision สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3.5x, 10x และซูมได้สูงสุด 20x มีฟิลเตอร์ Basic styles ได้แก่ Vivid ถัดมาจะเป็น Personalized Styles ที่มีโทนสี Cold white, Classic Negative, Positive film และ Clear blue

โหมด Portrait Video บันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ซูมได้ 3 ระยะ 1x, 2x และ 3.5x มีเอฟเฟกต์ Bokeh flare ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ Natural และ ZEISS Cinematic สามารถปรับความเบลอฉากหลังได้ และยังมีฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับแต่งความงามบนใบหน้า ถัดลงมาเป็นฟีเจอร์ Styles รวมฟิลเตอร์หลากหลายแบบที่เหมาะสำหรับบันทึกวิดีโอแบบพอร์ตเทรต
กล้องหน้า 50MP ZEISS Wide-Angle Front Camera

vivo X300 Pro ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในรูบนจอแสดงผล มีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 รูรับแสง f/2.0 ทางยาวโฟกัส 20 มม. ให้มุมมองกว้าง 92 องศา และมีระบบออโต้โฟกัส

โหมด Photo ของกล้องหน้า สามารถซูมได้ 3 ระยะ 0.8x, 1x และ 2x มาพร้อมฟิลเตอร์ Basic styles และ Personalized Styles แบบเดียวกับกล้องหลัง ส่วนแถบเครื่องมือด้านบนมีฟีเจอร์ Live Photo


โหมด Portrait ของกล้องหน้า สามารถซูมได้ 3 ระยะเช่นกัน และมีเอฟเฟกต์โบเก้จาก ZEISS ได้แก่ Biotar, Sonnar, Planar, Distagon, Cine-flare และ Cinematic นอกจากนี้ เครื่องมือ Beauty สำหรับเสริมความงามให้กับใบหน้าก็ปรับแต่งได้อย่างละเอียด และยังมีเครื่องมือ Makeup มาให้เลือกหลายแบบ สามารถแต่งหน้าตามรูปแบบที่ต้องการ

โหมด Video ของกล้องหน้า สามารถซูมได้ 3 ระยะ 0.8x, 1x และ 2x สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มีฟิลเตอร์ Basic styles และ Personalized Styles รวมถึง Beauty ขณะที่โหมด Portrait Video ก็ใช้งานกับกล้องหน้าได้เช่นกัน



















จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว

vivo X300 Pro มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ใช้วัสดุเปล่งแสง Q10 plus (ผลิตโดย BOE) ความละเอียด 1260 x 2800 ขนาด 6.78 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 452PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) รองรับขอบเขตสีกว้าง 100% P3 ให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และมีความสว่างสูงสุด 4500nits


จอแสดงผลของ vivo X300 Pro ผ่านการรับรองมาตรฐาน Low Blue Light จาก SGS ช่วยป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้า โดยเฉพาะการจ้องหน้าจอในที่แสงน้อยเป็นเวลานาน เพิ่มความสบายตาด้วยเทคโนโลยีการหรี่แสงขั้นสูง Full-Range DC Dimming และได้รับเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM Dimming ที่ความถี่สูง 2160Hz ช่วยลดการกระพริบของจอ พร้อมปกป้องสายตาเมื่อต้องใช้งานนานต่อเนื่อง สามารถลดอัตราการกะพริบและลดแสงของหน้าจอ ทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังรองรับ Circularly Polarized Light 2.0 ช่วยลดแสงสะท้อนและแสงจ้าโดยการกรองแสงสะท้อนที่ไม่ต้องการออกไป

ชิป Dimensity 9500 ที่ผสาน V3+ และชิปแยก VS1




vivo X300 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Dimensity 9500 ของ MediaTek ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการ 3 นาโนเมตร ใช้สถาปัตยกรรมซีพียู All Big Core เจเนอเรชันที่ 3 ประกอบด้วย Ultra Core ความเร็ว 4.21GHz, Premium Core 3 คอร์ และ Performance Core 4 คอร์ ให้ประสิทธิภาพ single-core สูงขึ้นถึง 24% และ multi-core สูงขึ้น 10% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ขณะที่ GPU Arm G1-Ultra มาพร้อมเทคโนโลยี Double Frame Rate Interpolation สูงสุดถึง 120FPS รองรับ Raytracing ระดับคอนโซล รวมถึง MegaLights ใน Unreal Engine 5.6 และ Nanite ใน Unreal Engine 5.5 จึงสามารถเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์ระดับ AAA และสร้างเอฟเฟกต์แสงที่สมจริง


ชิป Dimensity 9500 ยังทำงานร่วมกับชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย รวมถึงภาพถ่ายพอร์ตเทรต ส่งผลให้ vivo X300 Series รองรับ 4K 60FPS Cinematic Portrait Video ถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตระดับภาพยนตร์ และ 4K Cinematic Portrait with Bokeh & Style ให้เอฟเฟกต์โบเก้และโทนภาพระดับมืออาชีพ รวมถึง Ultra-High-Quality Slow Motion ถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่นคุณภาพสูง คมชัดทุกเฟรม

นอกจากนี้ vivo X300 Pro ยังมีชิปประมวลผลภาพ VS1 ซึ่งเป็น AI ISP (โปรเซสเซอร์สัญญาณภาพ) ตัวแรกของ vivo ที่มีพลังประมวลผล 80 TOPS และประสิทธิภาพการใช้พลังงานชั้นนำของอุตสาหกรรม (16 TOPS/W) โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการทุกอย่างตั้งแต่การเรนเดอร์โบเก้แบบเรียลไทม์ไปจนถึงการประมวลผล HDR และการซ้อนภาพหลายเฟรมที่ซับซ้อน ขณะที่ชิป V3+ จะรับงานต่อจาก VS1 สำหรับการประมวลผลที่หนักกว่า เช่น การลด Noise และ เพิ่มความคมชัด นอกจากนี้ ชิป VS1 ยังช่วยเพิ่มความเร็วฟังก์ชัน AI ของกล้องถึง 200% และลดการใช้พลังงาน 60%
ด้านความจำ vivo X300 Pro ได้รับ RAM แบบ LPDDR5X Ultra ขนาด 16GB จับคู่กับ ROM แบบ UFS 4.1 ขนาด 512GB พร้อมรองรับ Extended RAM สามารถยืมพื้นที่ ROM มาใช้เป็น RAM ชั่วคราวได้สูงสุด 16GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 32GB

จากการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า vivo X300 Pro ทำได้สูงถึง 3,600,560 คะแนน โดยจำแนกเป็นคะแนนด้าน CPU ทำได้ 1,056,009 คะแนน, GPU ทำได้ 1,363,312 คะแนน, Memory ทำได้ 391,158 คะแนน และด้าน User Experience ทำได้ 790,081 คะแนน
แบตใหญ่ 6510mAh ชาร์จเร็ว 90W

อีกจุดเด่นของ vivo X300 Series คือ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง Silicon Negative Electrode Gen 4 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Semi-Solid State ช่วยให้มีความจุมากขึ้น โดยยังคงรักษาความบางของขนาดแบตเตอรี่ และยังรองรับการชาร์จแบบ Bypass ระบบ Global Bypass Charging สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างเล่นเกมที่ยาวนาน ทำให้ตัวเครื่องไม่ร้อนเกินไป


ทั้งนี้ vivo X300 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ BlueVolt ความจุสูงถึง 6510mAh โดยที่ยังคงรักษาขนาดตัวเครื่องให้มีความบางเพียง 7.99 มิลลิเมตร ทำให้ vivo X300 Pro มีอายุการใช้งานยาวนานเป็นพิเศษ สามารถเดินทางไกลเป็นเวลานานตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหาจุดชาร์จแบตเตอรี่

นอกจากนี้ ยังรองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W FlashCharge ใช้เวลาชาร์จไม่กี่นาที ก็สามารถพกพา vivo X300 Pro ไปใช้งานได้ตลอดทั้งวัน และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 40W Wireless FlashCharge
vivo X300

vivo X300 มีไฮไลท์ที่กล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์คุณภาพจาก ZEISS ได้รับชิปเรือธง Dimensity 9500 และชิป V3+ เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีชิป VS1 แบตเตอรี่ BlueVolt 6040mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W ชาร์จไร้สาย 40W Wireless Charge จอแสดงผล 6.31 นิ้ว ดีไซน์บางเฉียบ 7.95 มิลลิเมตร น้ำหนัก 190 กรัม ทำให้พกพาได้สะดวกกว่า เมื่อเทียบกับ vivo X300 Pro
สเปก vivo X300

- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 4500nits
- กล้องหลัง 200MP Main + 50MP Ultra Wide + 50MP Telephoto Camera
- กล้องหน้า 50MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9500
- ความจำ RAM 12GB (LPDDR5X Ultra) + ROM 256GB (UFS 4.1)
- ขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 12GB ผ่านฟีเจอร์ Extended RAM
- ความจำ RAM 16GB (LPDDR5X Ultra) + ROM 512GB (UFS 4.1)
- ขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 16GB ผ่านฟีเจอร์ Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6, NFC, USB Type-C (USB 3.2)
- ระบุตำแหน่ง GPS (L1;L5), BeiDou (B1C;B1I;B2a;B2b), GLONASS (G1), Galileo (E1;E5a;E5b), QZSS (L1;L5), NavIC (L1;L5)
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Proximity, Ambient Light Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared, Flicker Sensor
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ 3D Ultrasonic Single-Point
- ระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 บนพื้นฐาน Android 16
- มาตรฐานทนน้ำและทนฝุ่น IP68 และ IP69
- แบตเตอรี่ BlueVolt 6040mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W และชาร์จไร้สาย 40W
- ขนาดตัวเครื่อง 150.57 x 71.92 x 7.95 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 190 กรัม
ดีไซน์กะทัดรัดพกพาสะดวก



ดีไซน์โดยรวมของ vivo X300 แทบจะเหมือนกับ vivo X300 Pro ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของวัสดุหรืองานประกอบ แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กกว่า เนื่องจากมีขนาดหน้าจอที่เล็กกว่านั่นเอง ทำให้ vivo X300 เป็นเรือธงที่พกพาได้สะดวกและคล่องตัวกว่า อีกจุดที่แตกต่างก็คือสีสันตัวเครื่อง vivo X300 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีชมพู Halo Pink, สีม่วง Iris Purple และ สีดํา Phantom Black

ด้านหลังของ vivo X300 ใช้ดีไซน์แบบเดียวกับ vivo X300 Pro มาพร้อมกระจก Reinforced Glass ที่ทนทานต่อแรงกระแทก และมีการจัดวางตำแหน่งโมดูลกล้องที่ต่างออกไป อย่างไรก็ตาม กล้องหลังของ vivo X300 ยังได้รับเลนส์คุณภาพสูงจาก ZEISS และเทคโนโลยีเคลือบเลนส์ T* (T Star) เช่นเดียวกัน

vivo X300 มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ที่มีดีไซน์ขอบจอบางเฉียบ 1.05 มิลลิเมตร บางกว่าขอบหน้าจอของ vivo X300 Pro เล็กน้อย ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 94.66% และยังได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ 3D Ultrasonic Single-Point ไว้บนหน้าจอ รวมถึงกล้องหน้าก็มีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกับรุ่น Pro
ระบบกล้องหลัง ZEISS Camera

กล้องหลังทั้ง 3 ตัว ของ vivo X300 ก็ได้รับเลนส์คุณภาพสูงจาก ZEISS เช่นกัน โดยมีกล้องหลักความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล วางคู่กับกล้อง 50MP Telephoto และ 50MP Ultra Wide พร้อมด้วยระบบไฟแฟลชอัจฉริยะ Adaptive Zoom Flash เช่นเดียวกับ vivo X300 Pro รองรับระบบไฟเสริมแบบฮาร์ดแวร์ Hardware Fill Light สําหรับเลนส์ทั้งระยะ 23 มม. และ 50 มม.

- กล้องหลัก ZEISS Main Camera ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/1.68 ทางยาวโฟกัส 23 มม. มีระบบกันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 4.5
- กล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว รูรับแสง f/2.57 ทางยาวโฟกัส 70 มม. มีระบบกันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 4.5
- กล้อง ZEISS Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 รูรับแสง f/2.0 ทางยาวโฟกัส 15 มม. มุมมองกว้าง 119 องศา
กล้องหน้า 50MP ZEISS Wide-Angle Front Camera

กล้องหน้าของ vivo X300 ใช้โมดูลแบบเดียวกับ vivo X300 Pro มีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 รูรับแสง f/2.0 ทางยาวโฟกัส 20 มม. ให้มุมมองกว้าง 92 องศา และมีระบบออโต้โฟกัส
จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว

vivo X300 มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ใช้วัสดุเปล่งแสง Q10 plus (ผลิตโดย BOE) ความละเอียด 1216 x 2640 ขนาด 6.31 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 460PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) รองรับขอบเขตสีกว้าง 100% P3 ให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และมีความสว่างสูงสุด 4500nits สรุปแล้วใช้จอแสดงผลแบบเดียวกับ vivo X300 Pro แต่มีขนาดเล็กลงมา เพื่อให้มีขนาดตัวเครื่องกะทัดรัด ใช้งานด้วยมือเดียวได้อย่างถนัด

นอกจากนี้ จอแสดงผลของ vivo X300 ยังผ่านการรับรองมาตรฐาน Low Blue Light จาก SGS ได้รับเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM Dimming ที่ความถี่สูง 2160Hz และเทคโนโลยีการหรี่แสงขั้นสูง Full-Range DC Dimming เช่นเดียวกัน
ชิป Dimensity 9500



vivo X300 ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9500 เช่นเดียวกับ vivo X300 Pro รวมถึงชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ โดยมีความจำRAM แบบ LPDDR5X Ultra ขนาด 12GB จับคู่กับ ROM แบบ UFS 4.1 ขนาด 256GB รองรับ Extended RAM สามารถยืมพื้นที่ ROM มาใช้เป็น RAM ชั่วคราวได้สูงสุด 12GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 24GB


จากการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า vivo X300 ทำได้ 3,219,395 คะแนน โดยจำแนกเป็นคะแนนด้าน CPU ทำได้ 970,340 คะแนน, GPU ทำได้ 1,279,253 คะแนน, Memory ทำได้ 372,935 คะแนน และด้าน User Experience ทำได้ 596,867 คะแนน
แบตเตอรี่


vivo X300 ได้รับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง Silicon Negative Electrode Gen 4 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Semi-Solid State และรองรับการชาร์จแบบ Bypass ระบบ Global Bypass Charging แบบเดียวกับ vivo X300 Pro รวมถึงเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W FlashCharge ชาร์จเร็วแบบไร้สาย 40W Wireless FlashCharge โดยมีแบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 6040mAh


OriginOS 6 ใหม่ล่าสุด
vivo X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ OriginOS 6 (บนพื้นฐาน Android 16) ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Smooth at Origin” เน้นการผสาน AI Integration เต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับตั้งแต่ฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะต่างๆ ไปจนถึงการจัดการพลังงานและหน่วยความจำ ให้การทำงานรวดเร็วและลื่นไหลยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมพลิกโฉมดีไซน์ UI ให้ทันสมัยตามเทรนด์เทคโนโลยีและผู้ใช้งานยุคปัจจุบัน ปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้ความสะดวกในการใช้งาน ความสบายตาและเป็นธรรมชาติทุกการสัมผัส



OriginOS 6 มาพร้อมฟีเจอร์ Flip Cards มอบประสบการณ์หน้าจอเหนือกว่าภาพนิ่งทั่วไป โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเทคนิคภาพ Lenticular ที่แสดงภาพแตกต่างกันเมื่อมองต่างมุม รองรับการใช้งานทั้ง ภาพนิ่ง, วิดีโอ และ Live Photos ขับเคลื่อนด้วยเซนเซอร์ Gyroscope เพื่อตรวจจับการเอียงของอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถ สลับภาพ ได้หลายทิศทางอย่างสนุกสนานและสร้างสรรค์
Origin Island เป็นอีกฟีเจอร์เด่นของ OriginOS 6 ซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักในการส่งข้อมูลและคำแนะนำอัจฉริยะ ให้ผู้ใช้งานอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนด้วย กรอบการทำงานที่รับรู้บริบทของเนื้อหาภายในอุปกรณ์ (On-device Content-aware Framework) ทำให้สามารถมอบคำแนะนำส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานได้อย่างแม่นยำ

Origin Island ถูกผสานเข้ากับท่าทางสัมผัสที่ใช้งานง่าย เช่น การคัดลอกและลากเนื้อหา (Drag-and-Drop) บนหน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้งาน รับรู้การเปลี่ยนแปลงสถานะระบบ และข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง พร้อมทางลัด ที่ช่วยให้การทำงานในชีวิตประจำวันสะดวกยิ่งขึ้น

OriginOS 6 ยังมีฟีเจอร์ Office Kit ช่วยให้การทํางานร่วมกันระหว่างสมาร์ตโฟน Android และคอมพิวเตอร์ Mac เป็นไปอย่างราบรื่น ประกอบด้วย การสะท้อนหน้าจอ (Screen Mirroring), การโอนไฟล์อย่างอิสระ (Free Transfer), การซิงก์โน้ต (Notes Sync) และ การทํางานร่วมกันบนโน้ตหลายอุปกรณ์ (Notes Multi-Device Collaboration)

Screen Mirroring – สามารถกดค้างเพื่อลากรูปภาพหรือไฟล์จากหน้าต่าง Screen Mirroring ไปยังเดสก์ท็อปหรือโฟลเดอร์ได้โดยตรง ผ่านแอปพลิเคชันของ vivo เช่น Albums และ File Manager เพื่อประสานการทํางานระหว่างหน้าจออย่างมีประสิทธิภาพ

Free Transfer – สามารถส่งไฟล์จากสมาร์ตโฟน (ผ่านแผงแชร์หรือ Origin Island) ไปยังพีซี (ผ่านเมนูคลิกขวาการ์ดอุปกรณ์หรือทางเข้าหน้าแรก) ได้อย่างอย่างรวดเร็วและราบรื่น เพียงเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีเดียวกันบนอุปกรณ์ต่างๆ ขณะที่เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

Notes Sync – ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานร่วมกับ PC เช่น กล้องและเครื่องสแกนเอกสาร สามารถทํางานได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านสมาร์ตโฟน โดยไม่ต้องมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ซับซ้อนหรือติดตั้งไดรเวอร์เพิ่มเติม

Notes Multi-Device Collaboration – ผู้ใช้งานสามารถบันทึกไอเดียได้ทันทีบนอุปกรณ์ที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจหรือเสียงประชุมบนสมาร์ตโฟน และนํามาจัดระเบียบเป็นเอกสารบน PC ด้วยการซิงค์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ทุกอย่างจัดการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
ชุดเลนส์เสริม เพิ่มพลังซูม

นอกจากสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ vivo ยังแนะนำเทคโนโลยีชุดเลนส์กล้องสุดล้ำ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ชุดเลนส์ซูมเสริมเทเลโฟโต้กำลังขยาย 2.35 เท่า ที่ vivo พัฒนาร่วมกับ ZEISS ช่วยขยายขีดจำกัดการซูมของสมาร์ตโฟนให้ไกลและคมชัดไปอีกขั้น รองรับทั้ง vivo X300 และ vivo X300 Pro
ด้วยชุดเลนส์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ช่วยให้ผู้ใช้งาน vivo X300 Series สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดฉากบนเวที (Stage), ทิวทัศน์ (Landscape), ภาพบุคคล (Portrait) และ โหมดวิดีโอ เพิ่มความสามารถในการบันทึกภาพและวิดีโอระยะไกลที่คมชัดสูงสุด

นอกจากชุดเลนส์ซูมเสริมเทเลโฟโต้กำลังขยาย 2.35 เท่า vivo X300 Series ยังรองรับชุดอุปกรณ์เสริม Photography Kit ที่ช่วยยกระดับการถ่ายภาพไปสู่ระดับมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยมีเคสพร้อมขาตั้ง รองรับทั้ง vivo X300 และ vivo X300 Pro ขณะที่กริปออกแบบมาสำหรับ vivo X300 Pro เท่านั้น ซึ่งมีแบตเตอรี่ในตัว และปุ่มควบคุมกล้องด้านบน ประกอบด้วย ปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 จังหวะ, ปุ่มบันทึกวิดีโอ, ปุ่มควบคุมการซูม รวมถึงปุ่มวงล้อสำหรับปรับค่าชดเชยแสง ช่วยให้ถ่ายภาพได้ถนัดยิ่งขึ้นเหมือนกำลังใช้กล้องระดับมืออาชีพ

ตัวอย่างภาพถ่าย






สรุปราคาและการจำหน่าย

vivo X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงแห่งปีของ vivo ที่อัปเกรดมาจาก vivo X200 Series ในปีที่แล้ว และออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดีก่อนที่โลกกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ช่วงเวลาที่ผู้คนจะได้ออกไปฉลองกันและท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวหลายวัน การพก vivo X300 Series ติดตัวไปด้วย จะช่วยให้ความทรงจำทั้งหมดถูกบันทึกไว้อย่างคมชัดผ่านกล้องความละเอียดสูง โดยเฉพาะ vivo X300 Pro ที่มีกล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างสวยงาม ซูมชิดติดเวทีทุกงานคอนเสิร์ต ขณะที่ vivo X300 เด่นที่กล้องหลัก ZEISS Main Camera ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล คมชัดทุกรายละเอียด

vivo X300 Series ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ OriginOS 6 ที่มี UI สวยงามทันสมัย ทำงานลื่นไหลด้วยชิปเรือธง Dimensity 9500 แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ชาร์จไว 90W ดีไซน์สวยงามพรีเมียม และยังทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน แม้ในวันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ โดยรวมแล้ว vivo X300 Series เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาเรือธงรุ่นใหม่ ที่เน้นการถ่ายภาพเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะภาพถ่ายพอร์ตเทรต หรือ วิวสวยๆ โดย vivo X300 Pro มีความโดดเด่นที่กล้องซูม ถ่ายภาพได้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ และจอใหญ่กว่าเล็กน้อย ขณะที่ vivo X300 ถ่ายภาพได้ดีไม่แพ้กัน และพกพาได้สะดวกกว่า

รายละเอียดการวางจำหน่าย
vivo X300 Series เปิดให้จับจองเป็นเจ้าของได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา ช่องทางออนไลน์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดย vivo X300 วางจำหน่ายในสองรุ่นความจุ ได้แก่ รุ่น 12GB + 256GB ในราคา 31,999 บาท และรุ่น 16GB + 512GB ในราคา 34,999 บาท ในขณะที่ vivo X300 Pro จัดเต็มความจุ 16GB + 512GB ในราคา 39,999 บาท
พิเศษยิ่งขึ้น! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ vivo X300 Series ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2568 รับทันที ของสมนาคุณพิเศษสามต่อ มูลค่ารวม 13,188 บาท เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานอย่างเต็มที่:
- ต่อที่ 1: vivo Care รับประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี จำนวน 1 ครั้ง มูลค่า 10,999 บาท
- ต่อที่ 2: ขาตั้งสมาร์ตโฟน มูลค่า 890 บาท
- ต่อที่ 3: เคสตัวเครื่องพร้อมแม่เหล็ก มูลค่า 1,299 บาท
สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการขยายขีดจำกัดของพลังซูม เพื่อสัมผัสประสบการณ์ระดับ VIP ชุดเลนส์เสริมกำลังขยาย 2.35 เท่า (vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender) ซึ่งประกอบด้วยเคสสมาร์ตโฟนและเลนส์ซูม สำหรับรุ่น X300 Pro และ X300 พร้อมให้สายถ่ายระยะไกลได้เป็นเจ้าของแล้วในราคา 5,999 บาท
#vivoX300Series #vivoX300 #vivoX300Pro #ZEISSImageGoFurther #ซูมชัด200MPด้วยกล้องZEISS






