นาฬิกาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกมีรุ่นใหม่ออกมาแล้ว Apple Watch Series 10 ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่กลายเป็น Apple Watch ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา และยังเบากว่าเดิม จึงสวมใส่ได้สบายยิ่งขึ้น ขณะที่จอแสดงผลมีพื้นที่กว้างกว่าเดิม ขนาดตัวเรือนใหญ่ขึ้น รองรับการชาร์จที่เร็วขึ้น พร้อมความสามารถใหม่ในการดำน้ำลึก 6 เมตร และเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำ โดยมีวัสดุตัวเรือนให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ อะลูมิเนียม และ ไทเทเนียม
สเปก Apple Watch Series 10
- จอภาพ Retina LTPO3 แบบติดตลอด พร้อม OLED มุมกว้าง
- ชิป SiP รุ่น S10, ชิประบบไร้สาย W3, ชิป Ultra Wideband รุ่นที่ 2, Neural Engine แบบ 4‑core
- ความจุ 64GB
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า, เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล รุ่นที่ 3, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ, เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด, เข็มทิศ, มาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอด, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง, ไจโรสโคปแบบช่วงไดนามิกสูง, เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ, ตัววัดความลึก, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำ, คำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง”
- ระบบนำทาง GPS (L1), GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- ลำโพงในตัว และไมโครโฟนพร้อมการแยกเสียง
- ผ่านการรับรองทนน้ำที่ระดับ 50 เมตร และทนฝุ่นที่ระดับ IP6X
- การเชื่อมต่อรุ่น GPS: Wi-Fi 802.11b/g/n (2.4/5GHz), Bluetooth 5.3
- การเชื่อมต่อรุ่น GPS + Cellular: 4G LTE, 3G UMTS, Wi-Fi 802.11b/g/n (2.4/5GHz), Bluetooth 5.3
- แบตเตอรี่ Lithium-Ion ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 36 ชั่วโมง (โหมดประหยัดพลังงาน)
แกะกล่อง Apple Watch Series 10
Apple Watch Series 10 ที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว เป็นรุ่นตัวเรือนอะลูมิเนียม สีดำเจ็ทแบล็ค จัดส่งมาในแพคเกจจิ้งที่คุ้นตา เพราะใช้มาตั้งแต่ Apple Watch Series 8 ซึ่งมีการใช้แผ่นกระดาษสีขาวห้อตัวกล่องจริงๆ ที่อยู่ข้างใน ด้านบนของกระดาษชั้นนอกมีโลโก้ Apple Watch และที่ขอบกล่องมีโลโก้ Carbon Neutral ของ Apple เพื่อบ่งบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เมื่อแกะแผ่นกระดาษห่อออกไป จะพบกับกล่อง Apple Watch และอีกกล่องสำหรับสายนาฬิกา
ภายในกล่อง Apple Watch Series 10 มาพร้อมสายชาร์จแบบแม่เหล็กที่ใช้พอร์ต USB-C คู่มือเริ่มต้นการใช้งาน และ เอกสารแสดงการรับรองจาก กสทช. ส่วนกล่องเก็บสายนาฬิกา มีแผ่นพับแนะนำวิธีการติดตั้งสายกับตัวเรือน
Apple Watch ดีไซน์บางเบาสุดที่เคยมีมา
ถึงแม้ภาพรวมยังดูคล้ายรุ่นก่อน แต่ถ้าได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดจะพบว่า Apple Watch Series 10 มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ ที่ชัดเจนเลยก็คือขนาดและน้ำหนัก Apple Watch รุ่นล่าสุดในปีนี้ เป็น Apple Watch ที่มีความบางที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple เพราะถูกทำให้บางลงเกือบ 10% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 7, Series 8 และ Series 9 โดยไม่ส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่
ในส่วนของวัสดุตัวเรือน Apple Watch Series 10 มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ ‘อะลูมิเนียม’ ที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว มาในสีดำเจ็ทแบล็ค โดยมีสีโรสโกลด์ และ สีเงิน ให้เลือกด้วย ที่น่าสนใจก็คือ วัสดุตัวเรือน ‘สแตนเลสสตีล’ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนเป็น ‘ไทเทเนียม’ มาในสีเทาสเลท สีทอง และ สีธรรมชาติ โดยใช้ไทเทเนียมเกรด 5 เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ
ขนาดตัวเรือนของ Apple Watch Series 10 ก็เป็นอีกจุดที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากมีขนาดตัวเรือนที่ใหญ่กว่าเดิม แต่กลับมีน้ำหนักเบาลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ 42 มม. และ 46 มม. เพิ่มขึ้นจาก 41 มม. และ 45 มม. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน จะพบว่า Apple Watch Series 10 ตัวเรือนอะลูมิเนียมเบากว่า Apple Watch Series 9 สูงสุด 10% ขณะที่ตัวเรือนไทเทเนียมของ Apple Watch Series 10 ก็เบากว่าตัวเรือนสแตนเลสสตีลของ Apple Watch Series 9 เกือบ 20%
ตัวเรือน Apple Watch Series 10 ยังมีส่วนขอบมุมที่โค้งมนมากกว่าเดิมและอัตราส่วนภาพที่กว้างขึ้น ทำให้จอภาพมีพื้นที่มากขึ้น เมื่อเทียบกับ เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 4, Series 5 และ Series 6 จะพบว่า Apple Watch Series 10 มีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้นสูงสุด 30% และถ้าเทียบกับ Apple Watch Series 7, Series 8 และ Series 9 จะพบว่า Apple Watch Series 10 มีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้นสูงสุด 9%
พลิกมาดูที่ด้านหลังตัวเรือนกันบ้าง ฝาหลังของ Apple Watch Series 10 ผลิตจากผลึกแซฟไฟร์และโลหะที่ผสานเสาอากาศเข้ากับฝาครอบตัวเรือนเป็นชิ้นเดียวกัน โดยที่วัสดุ ผิวสัมผัส ตลอดจนสีของฝาหลังนั้น ก็เข้ากับส่วนที่เหลือของตัวเรือนอย่างลงตัว จนดูเหมือนว่า Apple Watch Series 10 ผลิตขึ้นจากโลหะชิ้นเดียว ภายในกรอบวงแหวนที่ด้านหลังเป็นตำแหน่งของเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า, เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด และเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล โดยมีปุ่มถอดสาย 2 ปุ่ม ที่ขอบบนและขอบล่าง
มุมมองด้านข้างแสดงให้เห็นถึงความเพรียวบาง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 42 มม. หรือ 46 มม. ก็บางเท่ากัน 9.7 มม. บางลงกว่าเดิม 1 มม. เมื่อเทียบกับรุ่น 41 มม. และ 45 มม. ของ Apple Watch Series 7, Series 8 และ Series 9 ด้านข้างจะพบกับปุ่ม Digital Crown พร้อมการตอบสนองแบบสั่น ถัดลงมาเป็นไมโครโฟนพร้อมการแยกเสียง และ ปุ่มด้านข้าง
อีกข้างมีลำโพงและใช้เป็นช่องระบายอากาศในตัว
สำหรับสายนาฬิกา Apple Watch Series 10 รุ่น 42 มม. สามารถใช้สายร่วมกับ Apple Watch รุ่นก่อนที่มีขนาด 41 มม. ขณะที่สายของรุ่น 45 มม. ก็สามารถใช้งานร่วมกับ Apple Watch Series 10 รุ่น 46 มม. ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ Apple Watch Series 10 ตัวเรือนไทเทเนียม ยังมาพร้อมสายใหม่แบบ Milanese Loop และ Link Bracelet ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้เข้ากันอย่างลงตัวกับสีสันของตัวเรือนไทเทเนียม
จอแสดงผลมีมุมมองกว้างขึ้น ให้พื้นที่ใช้งานมากกว่าเดิม
Apple Watch Series 10 ได้รับจอแสดงผลที่ล้ำหน้าและมีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Apple Watch ถูกสร้างขึ้นมา โดยมีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้นสูงสุด 30% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 6 และมีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ
พื้นที่หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นของ Apple Watch Series 10 ช่วยให้การอ่านและการใช้งานมีความสะดวกขึ้นตามไปด้วย เช่น ข้อความ หรือ เมล ผู้ใช้จะมองเห็นข้อความในบรรทัดอื่นเพิ่มเติมหรือขยายขนาดฟอนต์ได้โดยไม่กระทบกับเนื้อหา และยังช่วยให้การพิมพ์ข้อความ หยุดพักการออกกำลังกาย หรือป้อนรหัสผ่านง่ายดายขึ้นอีกด้วย และถึงแม้จะมีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการออกแบบใหม่ก็ทำให้ตัวเรือน Apple Watch Series 10 มีขนาดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ทำให้ความสบายในการสวมใส่ลดลง
Apple Watch Series 10 มาพร้อมจอแสดงผล Retina LTPO3 OLED ความละเอียด 416 x 496 พิกเซล พื้นที่แสดงผล 1,220 ตร.มม. สำหรับรุ่น 46 มม. และ ความละเอียด 374 x 446 พิกเซล พื้นที่แสดงผล 989 ตร.มม. สำหรับรุ่น 42 มม. และรองรับการแสดงผลแบบติดตลอด หรือ Always-On
Apple Watch Series 10 ยังเป็น Apple Watch รุ่นแรกที่ใช้จอภาพ OLED แบบมุมกว้าง ทำให้แต่ละพิกเซลเปล่งแสงออกมาได้มากขึ้นในมุมมองที่กว้างกว่าเดิม จอแสดงผลจึงสว่างกว่า Apple Watch Series 9 สูงสุด 40% เมื่อมองจากด้านข้าง และอ่านได้ง่ายขึ้นเพียงแค่เหลือบตามอง
จอภาพ OLED แบบมุมกว้างของ Apple Watch Series 10 ยังประหยัดพลังงานยิ่งกว่าเดิม ทำให้อัตรารีเฟรชขณะอยู่ในโหมดการแสดงผลแบบ Always-On เร็วขึ้นจากทุก 1 นาทีเป็นทุก 1 วินาที ผู้ใช้จึงเห็นการเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีบนหน้าปัดนาฬิกาได้แล้วโดยไม่ต้องยกข้อมือขึ้นมา
จอแสดงผลของ Apple Watch Series 10 ยังให้ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต จึงสามารถอ่านหน้าจอในที่กลางแจ้งได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งยังสามารถลดความสว่างให้ต่ำลงเหลือเพียง 1 นิต ช่วยให้มองหน้าจอในที่แสงน้อยหรือในห้องมืดได้อย่างสบายตา และป้องกันแสงแยงตาคนรอบข้างได้ด้วย นอกจากนี้ จอแสดงผลของ Apple Watch Series 10 ยังได้รับการป้องกันด้วยกระจกหน้า Ion‑X สำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียม และผลึกแซฟไฟร์ สำหรับตัวเรือนไทเทเนียม
หน้าปัดใหม่
Apple Watch รุ่นใหม่ล่าสุด ทำงานบน watchOS 11 ที่มาพร้อมหน้าปัดนาฬิกาใหม่ๆ ซึ่งออกแบบมาให้เข้ากันได้ดีกับ Apple Watch Series 10 เพื่อใช้ประโยชน์จากจอภาพที่ใหญ่ขึ้นและอัตรารีเฟรชที่เร็วขึ้น ได้แก่ หน้าปัดนาฬิกา Flux, Reflections และ Photos
หน้าปัดนาฬิกา Flux มาพร้อมดีไซน์กราฟิกอันโดดเด่นที่จะเติมเต็มหน้าจอด้วยสีที่เปลี่ยนไปในแต่ละวินาที
หน้าปัดนาฬิกา Reflections มาพร้อมหน้าปัดที่เปล่งประกายโดดเด่นซึ่งจะค่อยๆ ตอบรับกับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ โดยเป็นหน้าปัดที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับตัวเรือนไทเทเนียมใหม่โดยเฉพาะ หน้าปัดนาฬิกา Photos ที่ออกแบบใหม่ที่ใช้การเรียนรู้ของระบบเพื่อช่วยผู้ใช้เลือกและจัดองค์ประกอบภาพที่ดีที่สุด
ดำน้ำลึก 6 เมตร
ตัวเรือน Apple Watch Series 10 ได้รับการออกแบบมาให้มีความทนทานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการป้องกันน้ำ ถึงแม้จะสามารถทนน้ำที่ระดับ 50 ม. และ ทนฝุ่นที่ระดับ IP6X เช่นเดียวกับรุ่นก่อน อย่างไรก็ตาม Apple Watch Series 10 ไม่เพียงแค่สวมใส่ขณะว่ายน้ำได้เท่านั้น แต่ยังสามารถสวมใส่เพื่อดำน้ำได้อีกด้วย
Apple Watch Series 10 ขยับเข้าใกล้ Apple Watch Ultra มากขึ้น เนื่องจากรองรับแอปพลิเคชัน Depth เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นแอปที่ช่วยให้ Apple Watch Series 10 สามารถวัดความลึกใต้ผิวน้ำได้ถึง 6 เมตร ทำให้ Apple Watch Series 10 เหมาะสำหรับการดำน้ำแบบสนอร์เกิล และ ดำน้ำตื้น แอป Depth ช่วยให้ผู้สวมใส่ Apple Watch Series 10 สามารถอ่านค่าต่างๆ ได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ใต้น้ำ ไม่ว่าจะดูเวลา ความลึก อุณหภูมิของน้ำ ระยะเวลาที่อยู่ใต้น้ำ และความลึกสูงสุด รวมถึงมีตัวเลือกให้เปิดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อ Apple Watch อยู่ใต้ผิวน้ำ และตัวชี้วัดการออกกำลังกายยังแสดงอุณหภูมิของน้ำระหว่างการว่ายน้ำออกกำลังกายในสระ และ แหล่งน้ำเปิดได้อีกด้วย
ทั้งนี้ Apple Watch Series 10 มีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำที่ไม่พบในรุ่นก่อน จึงสามารถวัดอุณหภูมิน้ำได้ทันทีเมื่อลงไปใต้ผิวน้ำ ทำให้ Apple Watch Series 10 เป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานลุยกิจกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะดำน้ำตื้น ว่ายเล่นในสระ ทะเลสาบ หรือทะเล
Apple Watch Series 10 ยังรองรับแอป Oceanic+ (สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี!! จาก App Store) ที่พัฒนาร่วมกับ Huish Outdoors ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาจุดดำน้ำสนอร์เกิลยอดนิยมที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงดูข้อมูลสภาพแวดล้อมที่จัดทำโดยชุมชนนักดำน้ำสนอร์เกิลได้ด้วย และในขณะที่กำลังดำน้ำสนอร์เกิล ก็สามารถดูความลึก อุณหภูมิของน้ำ และอีกมากมายได้ในหน้าจอเดียว
นอกจากนี้ แอป Tides หรือ แอปน้ำขึ้น-น้ำลง ที่มาพร้อม watchOS 11 ช่วยให้ Apple Watch Series 10 สามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้ำเปิดและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผู้ใช้สามารถดูการคาดการณ์ระดับน้ำขึ้นน้ำลงของชายฝั่งและจุดเล่นเซิร์ฟทั่วโลกได้ต่อเนื่องถึง 7 วัน รวมถึงข้อมูลน้ำขึ้นและน้ำลง ระดับความสูงและทิศทางของน้ำขึ้นน้ำลง ตลอดจนช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก และยังสามารถดูชายหาดใกล้ๆ บนแผนที่ได้อย่างสะดวก
ปรับปรุงลำโพงและไมโครโฟน
Apple Watch Series 10 ได้รับการปรับปรุงระบบเสียงทั้งลำโพงและไมโครโฟน โดยลำโพงในตัวสามารถเล่นเสียงจากแอปต่างๆ ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Apple Music, Apple Podcasts, Apple Books หรือแอปของนักพัฒนารายอื่น
สำหรับไมโครโฟนในตัว Apple Watch Series 10 ก็มาพร้อมฟีเจอร์ Voice Isolation การแยกเสียงสำหรับการโทร โดยใช้โครงข่ายประสาทสำหรับแยกเสียง ที่ทำงานบน Neural Engine แบบ 4-core ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างในขณะคุยโทรศัพท์ หรือโทร FaceTime แบบเสียง ทำให้ปลายสายได้ยินเสียงของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน แม้โทรคุยอยู่ในร้านอาหาร ริมถนน กลางแจ้งที่มีลดพัด หรือ สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
watchOS 11
ระบบปฏิบัติการ watchOS 11 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ทำให้ Apple Watch Series 10 มีประสิทธิภาพมากขึ้นในด้าน อย่างแอป Vitals หรือแอปสัญญาณชีพ ช่วยให้ผู้ใช้งานดูตัวชี้วัดหลักๆ ด้านสุขภาพในตอนกลางคืนได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจบริบทด้านสุขภาพของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีตัวชี้วัดหลายตัวอยู่นอกช่วงปกติ ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนพร้อมข้อความแสดงรายละเอียดว่าการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดดังกล่าวนั้นอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ในชีวิตอย่างไรบ้าง เช่น ระดับความสูงที่เปลี่ยนแปลงไป การบริโภคแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ความเจ็บป่วย
watchOS 11 มีวิธีการใหม่ Training load ช่วยในการวัดว่าความเข้มข้นและระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อร่างกายของผู้ใช้งานเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้ใช้งาน Apple Watch Series 10 มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายของตัวเองในแต่ละวัน
Activity rings หรือ วงแหวนกิจกรรม ปรับแต่งได้มากกว่าที่เคย ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนดเป้าหมายของวงแหวนกิจกรรมตามวันในสัปดาห์ เพื่อรับแรงจูงใจในปริมาณที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสม ผู้ใช้ยังสามารถหยุดวงแหวนของตนได้เป็นเวลาหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือมากกว่านั้น โดยไม่กระทบต่อรางวัลสถิติต่อเนื่อง เพื่อวางแผนวันพักผ่อน ดูแลอาการบาดเจ็บ หรือเพียงแค่หยุดพักสักวัน
นอกจากนี้ watchOS 11 ยังมีวิดเจ็ตแบบ Smart Stack ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว, Translate แอปแปลภาษา และ Check In บน Apple Watch, ความสามารถในการเลื่อนดูแอปด้วยคำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง”, สรุปการแจ้งเตือนที่ขับเคลื่อนโดย Apple Intelligence และอื่นๆ อีกมากมาย
ชิปใหม่ S10
Apple Watch Series 10 ใช้ชิป SiP รุ่น S10 แบบ 64-bit Dual‑core ที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อให้มีดีไซน์ที่บางลง โดยยังคงมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และความชาญฉลาดอีกด้วย ซึ่งใช้ประโยชน์จาก Neural Engine แบบ 4-core ในตัว เป็นขุมพลังขับเคลื่อนฟีเจอร์อัจฉริยะต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง”, Siri บนอุปกรณ์, การป้อนตามคำบอก หรือการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ ตลอดจนคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่สำคัญๆ อย่างการตรวจจับการชนกันและการตรวจจับการล้ม รวมไปถึงวิดเจ็ต Smart Stack ที่อัปเดตใหม่ หน้าปัดรูปภาพที่ออกแบบมาใหม่ และแอปแปลภาษาใน watchOS 11
SiP รุ่น S10 และ Neural Engine แบบ 4-core ในตัวคือขุมพลังขับเคลื่อนคุณสมบัติอันชาญฉลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิดเจ็ตซ้อนอัจฉริยะที่อัปเดตใหม่ (ในภาพ) คุณสมบัติด้านความปลอดภัยอย่างการตรวจจับการล้ม รวมไปถึงหน้าปัด Photos ที่ออกแบบมาใหม่ และแอปแปลภาษา
ชาร์จเร็วขึ้น
ฝาหลังของ Apple Watch รุ่นใหม่ในปีนี้ มาพร้อมขดลวดสำหรับการชาร์จไร้สายที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ Apple Watch Series 10 เป็น Apple Watch ที่ชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาที ช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมง สำหรับการใช้งานทั่วไปในแต่ละวัน หรือ ชาร์จ 8 นาที ก็เพียงพอสำหรับติดตามการนอนหลับได้สูงสุด 8 ชั่วโมง และการชาร์จเร็วยังทำให้ผู้ใช้ชาร์จแบตเตอรี่ได้สูงสุด 80% ในเวลาประมาณ 30 นาทีอีกด้วย และถึงแม้ตัวเรือน Apple Watch Series 10 จะบางที่ลงกว่ารุ่นก่อน แต่ก็ยังคงให้อายุการใช้งานยาวนานสูงสุด 18 ชั่วโมง หรือ 36 ชั่วโมง ในโหมดประหยัดพลังงาน
สรุปราคาและการจำหน่าย
ปีนี้ Apple ไม่ได้เปิดตัว Apple Watch Ultra รุ่นใหม่ แต่การปรับปรุงของ Apple Watch Series 10 ก็ทำให้ผู้ใช้งานมีตัวเลือกที่ใกล้เคียงกับ Apple Watch Ultra มากขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนวัสดุตัวเรือนจากสแตนเลสสตีล มาใช้ไทเทเนียม อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้มีพื้นที่จอแสดงผลใหญ่ขึ้น มุมมองหน้าจอกว้างขึ้น และยังสามารถสวมใส่ดำน้ำได้ลึก 6 เมตร ถึงแม้ Apple Watch Ultra จำดำน้ำได้ลึกกว่า แต่สำหรับการดำน้ำตื้น Apple Watch Series 10 ก็เพียงพอแล้ว นั่นทำให้ Apple Watch Series 10 ถือเป็นการอัปเกรดที่คุ้มค่าสำหรับเจ้าของ Apple Watch รุ่นเก่า และเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังตัดสินใจซื้อ Apple Watch ที่ดีที่สุด แต่ไม่ต้องการจ่ายแพงแบบ Apple Watch Ultra
ทั้งนี้ Apple Watch Series 10 พร้อมวางจำหน่ายในไทยแล้ว ในราคาเริ่มต้น 14,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 18,900 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular สั่งซื้อได้ที่ https://www.apple.com/th/shop/buy-watch/apple-watch